The River Trading SystemThe River Trading System
👌ระบบเทรดแม่น้ำที่สายเทรดทองไม่ควรพลาด ที่ใช้ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน แถมจุดเข้าจุดออกก็แสนจะเบสิค แต่แม่นเว่อร์ถึง 95%
👌The River Trading System เป็นระบบเทรดระบบแม่น้ำ ที่อาศัยหลักการเข้าออเดอร์แบบตามเทรนด์ใหญ่ Following Trend
และเหมาะมากๆกับการเทรดสั้นแบบM scalping ใน Time Frame 5M-15 และที่สำคัญเทรดได้ทุกคู่เงิน รวมไปถึงทองด้วย ตัวนี้เหมาะมากสำหรับเทรดเดอร์สายขุดทอง
Indicators:อินดี้ที่ใช้
เส้น MA (Moving Average) = 21 , 62 , 85 สีอะไรก็ได้ อย่าให้ซ้ำกัน
เส้น Envelope 62 (0.05) สีอะไรก็ได้ อย่าให้ซ้ำกัน
วิธีการใช้งาน
เทรดขาขึ้น
1. เมื่อเส้น MA 21 ข้ามตัดขึ้นผ่านจากด้านล่าง ตัดผ่านเส้น MA 62 และ 85 และเส้น Envelope
เทรดขาลง
1.เมื่อเส้น MA 21 ข้ามตัดลงผ่านจากด้านล่าง ตัดผ่านเส้น MA 62 และ 85 และเส้น Envelope
RE-Entry: ซื้อเพิ่ม !!
1. เมื่อราคาหวนเข้าสู่โซนเส้น Envelope
จุดออก Exit position
ให้ตั้ง SL (Stop Loss) 5 pips ต่ำกว่า หรือเหนือกว่าเส้น Envelope
เป้าหมายกำไร Profit Target Ratio 1:3
จุดปิดกำไร บางครั้งใช้ เส้น pivot level เข้ามาช่วยได้ด้วย
อย่าลืมใช้จุดแนวรับแนวต้านเป็นตัวช่วยหาจุดเข้าและจุดออกนะ
หากขี้เกียจตั้งค่าก็ใช้อินดิเคเตอร์จาก tradingview ได้เลย ที่เป็นตัว rainbow มีให้เลือกใช้เยอะมาก
ไอเดียชุมชน
สัญญาณหุ้น "เจดีย์" ตอนที่ 1
หุ้น EA หรือ Energy Absolute เคยเป็นหุ้นที่ยอดฮิตของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
จากราคา IPO ที่ 5.50 บาท หุ้น EA เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดถึง 105.50 บาท เมื่อช่วงปลายปี 2021 ก่อนที่ราคาจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด EA เทรดอยู่ที่ต่ำกว่า 30 บาท ลดลงจากจุดสูงสุด เกือบ 80%
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น EA?
นักลงทุนที่ติดตามข่าวของ บจ. จะรู้ว่าผลประกอบการของ EA ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากรายได้ Adder ของโครงการเก่าๆ ที่ทยอยหมดอายุ รวมถึงแผนที่จะให้ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และโรงงานแบตเตอรี่ มาเป็น new growth engine ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
แต่ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2021 ที่มีสารพัดข่าวดีเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ของบริษัท และช่วงที่หุ้น EA ทำราคา All time high จะมีจุดสังเกตไหน ทีเป็นสัญญาณเตือนนักลงทุนว่า ราคาและกำไรของ EA ที่ทำ ATH อาจจะสะท้อนความคาดหวังที่มากเกินไปในหุ้นตัวนี้
1) กำไรเพิ่ม แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง
EA มีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจแบตเตอรี่เข้ามา แต่ส่วนแบ่งกำไรเหล่านี้เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีที่คิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของ EA กำไรที่เพิ่มนี้ไม่ได้ถูกจ่ายปันผลมาให้ EA แต่ EA นั้นต้องมี working capital เพิ่มขึ้น เพื่อให้เครดิตสำหรับการทำธุรกิจกับบริษัทร่วม
2) วงจรเงินสดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากข้อ 1
3) EBITDA Margin มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อว
เดิมที ธุรกิจหลักของ EA คือโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มี margin สูงและค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่หลังจากที่ EA ขยายธุรกิจเข้ามาสู่ธุรกิจ EV & battery ก็ทำให้ margin โดยรวมของบริษัทลดลง เพราะธุรกิจ EV battery เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ต่างจากธุรกิจโรงไฟไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานและมี margin ค่อนข้างนิ่ง
Scalping in 1 min WIN 70% กลยุทธิ์การเทรดสั้น 1 นาที กำไร 70%
วิธีการเทรดสั้นแบบชนิดที่เรียกว่า สั้นจริงๆ เพียงแค่ 1นาที เท่านั้น ทริคดีๆในการเทรด
👌 Scalping หรือ การเทรดเก็งกำไรระยะสั้น ที่ใครๆก็ชื่นชอบ เพราะมันทำกำไรได้เร็วและไม่เครียดนาน ใช่ครับ ไม่เครียดนานจริงๆ เครียดแป๊บเดียวเอง กำไรก็ดีใจกันไป แต่ถ้าขาดทุนก็เศร้ากันไป นั่นแหละฮะ
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเรามีทริคเด็ดๆ สำหรับการเทรดสั้น เพื่อที่จะไม่ต้องเศร้ากันบ่อยๆ ทีนี้มาดูกันครับ ว่าต้องเตรียมตัวกันอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย
👊1. เตรียมคำนวน นับจุดให้เป็นก่อน
👊2. กรอบการเทรด 1 นาที TF M1 แน่นอนเลยครับ จะเล่น 1 นาที ก็ต้องมาที่กรอบ 1 นาที แต่เราจะไปดูกรอบ 5 นาที ถึง 15 นาทีก่อนเพื่อสร้างกรอบเวลาในการเล่น และกำหนดกรอบการเล่น แต่เวลาเข้าออเดอร์ต้องไปกรอบ 1 นาทีเท่านั้น
👊3. เก็บกำไร 10-20 PIP แต่บางคนอาจเก็บ 20-50 ก็ได้แต่จะให้ดีไม่เก็บเกิน 50 PIP ครับ ส่วนตัวแอด เก็บที่ 10 PIP ครับ
👊4. เลือกเวลาในการเทรด ทริค อันนี้ แอดแนะนำให้เล่นช่วงไซด์เวย์ครับ
👊5. ตีเส้น แนวรับต้าน และกรอบไซด์เวย์ให้เรียบร้อย
👊6. อินดิเคเตอร์ที่เลือกใช้ Stochastic 5-3- 3 , EMA5 , EMA50, EMA100
👊 ตีกรอบไซด์เวย์เอาไว้แล้ว และวัดระยะสวิงการวิ่งในกรอบไซด์เวย์ เก็บแค่ 10 PIP พอเลย
👊การออก LOTSIZE ลอทเก็บไม้ใหญ่นะครับเริ่มที่ 0.1 หรือ 1.0 ก็เอาที่ทุนเราไหวนะครับ ทุนต้อง100 เหรียญขึ้นไป คำนวนทุนกำไร เผื่อค่าความเสียหายที่ 7-10 PIP ต่อการเทรด 1 ครั้ง
วิธีการเทรด
1. ดูสัญญาณกลับตัวของเส้น STO ตัดขึ้นหรือตัดลง ที่ ตำแหน่ง 20 (รอตัดขึ้นเพื่อเข้าบาย )หรือ 80 (รอตัดลงเพื่อเข้าเซล) แต่ต้องอ้างอิงเส้น EMA ว่าเป็นเทรนขาขึ้น หรือ เทรนขาลง ด้วย
2. ดูเส้น EMA เป็นหลัก เมื่อเส้น EMA 50 ตัดลงผ่านเส้น EMA 100 ถือเป็นขาลง ถ้าอยู่เหนือเส้น ก็จัดว่าเป็นขาขึ้น (จากในรูปเป็นขาลงนะครับ)
3.เมื่อได้แนวทางการไปของราคาแล้วก็ให้ล๊อคออเดอร์ หรือ แพนดิ้งตามกรอบเส้นแนวรับแนวต้าน ภายในกรอบไซด์เวย์
4. เก็บกำไรโดยการตั้ง TP ที่ 10 PIP
👉👉👉ทริคนี้บอกเลย ไม่ง่ายและก็ไม่ยาก ต้องใช้ไหวพริบพอตัวอยู่ มือไวใจเร็วให้คล่องๆครับ และจะให้ดี ทดสอบที่พอร์ตเดโม่ก่อนนะ อย่าเผลอลองจริงหละ ถ้าดีก็รวยจริง แต่ถ้าไม่ทันก็จนเร็วนะครับ ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกให้คล่องแล้วจะเก่งเอง
เงินพุ่งแซงทอง! อะไรคือเหตุผล และทำไมเงินถึงน่าสนใจกว่าทองในตอนนการวิเคราะห์ข้อความ: การพุ่งทะยานของราคานเงินแซงหน้าทองคำ
ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ราคานเงินพุ่งสูงขึ้นถึง 23.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า สร้างความฮือฮาให้กับนักลงทุนทั่วโลก ข้อความนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยหลักที่ผลักดันราคานเงินให้พุ่งสูงขึ้น รวมถึงการเปรียบเทียบกับทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักมองหาในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคานเงิน
1.) ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย: ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงิน ทำให้ความต้องการเงินเพิ่มขึ้น
2.) อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น: เมื่อเงินสดสูญเสียมูลค่าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เงินกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการรักษามูลค่าของเงิน
3.) ความต้องการทางอุตสาหกรรม: เงินมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งส่งผลให้ราคานเงินเพิ่มขึ้น
4.) ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐ: เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ เงินจึงน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
5.) ราคาทองคำที่สูงเกินไป: นักลงทุนบางคนอาจมองว่าราคาทองคำแพงเกินไป จึงหันมาลงทุนในเงินแทน เนื่องจากเงินก็เป็นหลุมหลบภัยที่ดีเช่นกัน
ปัจจัยที่กดดันราคาทองคำ
1.) นโยบายการเงินของธนาคารกลาง: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้ออาจกดดันราคาทองคำ
2.) ความต้องการเครื่องประดับ: แม้ว่าทองคำจะเป็นที่นิยมสำหรับเครื่องประดับ แต่ความต้องการเครื่องประดับทองคำอาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก
การวิเคราะห์
การพุ่งขึ้นของราคานเงินในช่วงเวลานี้สะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน นักลงทุนเลือกเงินเป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากการสูญเสียมูลค่าของเงินสดเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ความต้องการเงินในอุตสาหกรรมต่างๆ ยิ่งทำให้ราคานเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำกลับได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกและความต้องการเครื่องประดับทองคำที่ไม่เติบโตมากนัก นักลงทุนบางคนจึงมองหาทางเลือกอื่นในการลงทุน เช่น เงิน ที่มีความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน
การเปรียบเทียบระหว่างเงินและทองคำในบริบทนี้ ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกลงทุน และสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
ข้อคิดวันนี้1.เมื่อได้หน้าเทรดที่เหมาะสมแล้ว จงหาข้อโต้แย้ง และข้อสังเกตุก่อนจะตัดสินใจกระทำการใดๆ ให้บันทึกมันว่าถ้าทำตามหรือไท่ทำตามหน้าเทรดแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น และจะปรับจูนอย่างไรในอนาคต
2.การเทรดด้วยความสบายใจเป็นเรื่องที่ต้องตระหนักมากที่สุด สำหรับผมเปรียบเสมือนมาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพเลยที่เดียว เราต้องหลีกเลี่ยงการบีบคั้นตัวเองจนเลยขอบเขตของมาตรฐานความสบายใจของเรา ผมถือว่าผู้ที่เทรดด้วยความสบายใจและรู้ขอบเขตเป็นผู้ที่มีอิสระภาพในการเทรดในระดับสูง
3.การไม่ขาดทุนหรือกินทุนคือความรับผิดชอบขั้นสูงสุดของนักเทรด จงจำไว้วันหน้าฟ้าใหม่ถ้ามีทุนหน้าตักอยู่ ก็ยังมีโอกาสเข้าเทรดได้อีกเมื่อเข้าหน้าเทรด
4. ได้กำไรแล้วต้องทะยอยขาย คือความรับผิดชอบต่อครอบครัว หลีกเลี่ยงการสร้างอัตตาความดูเก่งแบบมายาที่จะขายที่สูงสุด จำไว้เงินในกราฟมันมีค่าแค่ทางจิตใจในวินาทีที่เราถือว่าตัวเราเก่ง แค่วินาทีที่เรามองไปแค่นั้นหลังจากนั้นก็เป็นอดีต เงินกำไรที่กลับมาอยู่ในPort ต่างหากที่มีค่าสำหรับต่อยอดการเทรดครั้งถัดไป จงเตรียมเงินสำหรับเทรดในครั้งถัดไปดีกว่า เพราะเทรดไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่ตลาดยังเปิดอยู่
model learning XAUPlan setup model
Major trend uptrend TF4H Main 15Min entry
เนื่องจากราคาเป็นเทรนหลักขาขึ้นได้มีการ Choch โครงสร้างย่อยเกิดการเสียทรงเป็นอาการพักตัวในรูป เเบบ correction เลยต้องมองภาพ sell เป็นหลัก
เเต่ในภาพนี้ราคามี orderblock ของ 4H ราคาเลยมีโอกาศกลับขึ้นไปทดสอบจุดที่หลุดลงมาที่ราคาได้ทำ DBD ของภาพ 4H
เเต่เนื่องจากราคา ณ จุดนี้ราคาฝั่ง supply ได้เข้ามาคุมเเล้วทำให้ราคาเเอบหลุดลงไปเเล้วดึงกลับเข้าโซน ณ ตอนนั้นผมก็ได้ L ไว้เเถวๆ 2157 SL 2148 ซึ่งกว้างมาก
เเล้วซักพักราคาก็ได้ทำเพิทเทิลกลับตัว qml ทำให้ได้ไม้ 2156 มาอีกไม้ จากนั้นราคาได้ไปทดสอบ เเถว 2179 ทำให้ setup นี้ได้ไป 1:2 RR เลยที่เดียว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนั้นราคาได้มาทดสอบ 2179 ที่ได้วางแผนไว้เนื่องจากโครงสร้างได้เกิดการพักตัว เลยเล่นเเผน Sell ราคาได้ขึ้นไปทดสอบพร้อมกับมี bear div เเล้วมีเกิดการ rejection อย่างชัดเจนเเล้วราคาได้มีเเท่งเทียนBearish Engulfing เเล้วกลับขึ้นไปทดสอบอีกรอบจากนั้นราคาเกิดการทุบลงอย่างรุนเเรงมาเเนวรับเดิมอีกครั้ง
Fibonacci Extension vs. Fibonacci RetracementFibonacci Extension vs. Fibonacci Retracement
By PapaFinanceTalk
March 10, 2024
______________________________
Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are two essential tools employed by traders to forecast price movements. While both utilize Fibonacci ratios, they serve distinct purposes and are applied differently. This article provides a comprehensive analysis of their key differences and practical applications.
______________________________
1. Fibonacci Extension
Fibonacci Extension projects potential price targets beyond the end of a price trend. It utilizes the length of the initial price swing or trend to estimate subsequent price extensions after a retracement or pullback. Commonly used Fibonacci Extension levels include 127.2%, 161.8%, 200%, 261.8%, and 423.6%.
Key Features :
- Predicting Continuation Price Targets: Fibonacci Extension leverages the initial price swing's length to approximate subsequent price targets.
- Trend Analysis: It is utilized in trending markets to anticipate where a trend may extend after a retracement or consolidation phase.
- Identifying Profit-Taking Points: Fibonacci Extension levels can serve as potential profit-taking or exit points for existing trades.
______________________________
2. Fibonacci Retracement:
Unlike Fibonacci Extension, Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a price trend. It utilizes the length of previous price swings to estimate areas where the current trend may pause or reverse. Commonly used Fibonacci Retracement levels include 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, and 78.6%.
Key Features:
- Identifying Reversal or Retracement Points: Fibonacci Retracement helps traders pinpoint areas where a price trend may reverse or retrace based on the length of previous price swings.
- Corrective Phase Analysis: It is commonly used during corrective phases within a price trend to anticipate potential reversal levels.
- Trade Signal Confirmation: Fibonacci Retracement levels can serve as confirmation points for trade signals generated by other technical indicators or price action analysis.
______________________________
Key Differences:
- Purpose: Fibonacci Extension aims to project price targets beyond the end of a trend, while Fibonacci Retracement focuses on identifying potential reversal or retracement points within a trend.
- Application: Fibonacci Extension is used in trending markets to identify potential profit-taking points, whereas Fibonacci Retracement is utilized during corrective phases to anticipate trend reversals or continuations.
- Fibonacci Ratios: Fibonacci Extension commonly uses higher ratios (e.g., 127.2%, 161.8%, 261.8%), while Fibonacci Retracement typically employs lower ratios (e.g., 23.6%, 38.2%, 61.8%).
______________________________
Conclusion:
Both Fibonacci Extension and Fibonacci Retracement are valuable tools for traders, offering complementary insights into price movements. By understanding their distinct purposes and applications, traders can effectively incorporate them into their trading strategies to make informed decisions and maximize their potential for success.
______________________________
Disclaimer: This analysis is for informational purposes only and should not be considered as investment advice. Always conduct your own research and consult with a financial professional before making any investment decisions.
BTCUSD : New ATH crash ฝั่ง Long โดนล้างมากสุดในรอบปี 5/3/2024แวะมาบันทึกเก็บไว้หน่อยนึง เพราะน่าจะถือว่าเป็น point of event ที่สำคัญ เผื่อจะได้เก็บไว้อ้างอิงได้ในอนาคตครับ
---------------------
เหตุการณ์
---------------------
- ในวันที่ 5/3/2024 BTC ทำ New ATH ใหม่ได้ ที่ 69,350 USD แต่ก็อยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน เพราะราคาถล่มลงมาทันที และลงไปต่ำสุดถึง 59,000 USD หรือลงไปราวๆ -15% ครับ
- โดยการถล่มครั้งนี้ ทำให้ฝั่ง Long โดนล้างพอร์ต ( Liquidated ) ไปสูงสุดถึง 892M USD หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ สามหมื่นกว่าล้านบาท
- ถ้ารวมกับฝั่ง Short ที่ก็โดนหางเลขไปด้วยอีก 291M USD ก็จะทำให้ ยอดรวมคนโดนล้างในรอบนี้ สูงถึง 1,183M USD หรือคิดเป็นเงินไทย ราวๆ สี่หมื่นสองพันล้านบาท นั่นเอง
- และ ทำให้การล้าง ( liquidation ) วันนี้ เป็นการล้างในวันเดียว ที่สูงที่สุด ตั้งแต่ผมเริ่มจดบันทึกมาด้วยครับ ( ผมเริ่มจดบันทึกยอดโดนล้างเมื่อเดือน 3/2023 ก็ครบหนึ่งปีพอดี )
---------------------
บันทึก Sentiment + Price Movement
---------------------
- รอบนี้ BTC เริ่มลากแบบไม่พัก มาตั้งแต่ตอนที่ย่อแรง แล้วกลับขึ้นมาใหม่ได้ ในช่วงต้นเดือน ก.พ. 2024 แล้วหลังจากนั้นก็ลากกันมาตลอด 1 เดือน
- โดยช่วงที่ลากโหดที่สุด ก็คือ ช่วงวันที่ 26/2 - 5/3 โดยลากขึ้นมาจาก 50k ขึ้นไป New ATH 69k (+36%) ในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
- ในช่วงสัปดาห์ที่ลากขึ้น ฝั่ง short เองก็โดนล้างกันไปยับๆ ทุกวัน ถ้าดูแต่ละวันเหมือนจะไม่ค่อยเยอะ แต่พอรวมกัน 7 วันแล้วก็ไม่ใช่น้อยเลยครับ
- และช่วงนี้ ถ้าไถเฟสบุ๊ค เราก็จะเห็นเพจการลงทุน หรือเพจอื่นๆ ที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุนเท่าไหร่ พูดถึงราคา Bitcoin กันทู้กวัน พูดง่ายๆ ก็คือ sentiment กาวจัดๆ นั่นเอง
- ยังไม่นับพวก Funding Rate / Lending Rate ที่พุ่งขึ้นไปสูงมากๆ ในหลายๆ exchange ครับ
- อ้อ fear & greed index ก็พุ่งไปสูงสุดถึง 98% เลยด้วยนะ
---------------------
Crash Analysis
---------------------
- การถล่มของราคาครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะผมเองก็เขียนบทความลงเพจ เตือนลูกเพจว่า ให้ระวังการ crash ให้ดี เพราะตั้งแต่เราขึ้นมาตลอดหลายเดือน รอบนี้เรายังไม่เจอ crash โหดๆ เลย ซึ่ง ผิดวิสัยของ Bitcoin มากๆ
- เพราะปกติ ในการขึ้นทุกครั้ง BTC จะมีการ crash อย่างรุนแรง "เสมอ" โดยความรุนแรง ให้ดูจากยอดคนที่โดนล้าง ไม่ใช่ % การลงของราคา นะครับ เนื่องจาก ในทุกวันนี้ Bitcoin มันแพร่หลายมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น จะมาบอกว่า การลงแรงๆ คือลงวันเดียว -30% -50% เหมือนเมื่อก่อน มันเป็นไปได้ยากมากๆ ครับ ( แต่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้นะ 555 )
- การ crash รอบนี้ จากที่ได้คุยกันมากับสหายคริปโตหลายๆ คน ก็พบว่า...
* บางคนวาง Trigger Stop เอาไว้ แต่ราคายังไม่ถึงจุด Trigger แต่ exchange ก็รวนจนกลายเป็น Trigger Sell ไปเฉยเลย
* บางคนกด market sell ปิด position แต่ราคากลับไป match ในจุดที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันมากๆ ทำให้เงินหายไปเยอะ
* บางคนเปิด cross mode ไว้ ทำให้ทุกเหรียญที่ซิ่งไว้ โดนล้างหมดพอร์ตฟิวเจอร์
* บางคนก็ตั้ง stop ไว้แบบลึกๆ มากๆ แต่การรูดเมื่อวานมันก็ลงมาเกี่ยว stop ไปจนหมด
ฯลฯ
- แต่สุดท้าย หลังจากมันลงไปกวาดทุกคนให้โดนล้าง มันก็เด้งกลับขึ้นมาปิดแท่ง daily ที่เหนือ ATR แถวๆ 63k ได้อีก
---------------------
Key Takeaway
---------------------
- การดู Sentiment ของตลาดผ่านสื่อต่างๆ ไว้บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะมันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้เรายับยั้งชั่งใจ ก่อนจะไป FOMO กดซื้อไปแบบไม่มีแผน รวมถึงอาจจะช่วยให้เราตัดสินใจ take profit บางส่วน เพื่อ lock กำไร position ที่เราถือกันมาไว้บ้าง เพื่อรักษาสภาพจิตใจไม่ให้ห่อเหี่ยว เวลาราคามันทุบหนักครับ
- การใช้ leverage ช่วยในการเทรด มันอาจจะทำให้เราดูเหมือนรวยเร็ว ก็จริง แต่ในเหตุการณ์แบบเมื่อวานนี้ ก็อาจจะทำให้กำไร+ทุนที่เราหามาได้ตลอดหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ หายวับไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ครับ
- ถ้า lock กำไรออกมาแล้ว ก็ไม่ควรเอากำไรตรงนี้ไปซิ่งต่อยอด ควรเอาไปหยอดในกลยุทธอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำมากกว่า เช่น เอาไปหยอดไว้ใน Earn ปล่อยกู้กินดอกเบี้ยแทน หรือ cash out ไปซื้อสินทรัพย์อื่นๆ ที่มี upside potential สูงครับ
---------------------
ทิ้งท้าย
---------------------
- สุดท้ายแล้ว จากที่ดูพฤติกรรมราคาของ Bitcoin และตลาดคริปโตโดยรวม มาตลอด 7 ปี.. มันก็ทำเหมือนเดิมทุกครั้งน่ะแหละ คือ มันจะลากขึ้นมาด้วยข่าวใดๆ ก่อน จนถึงจุดๆ นึงที่คนเริ่มมั่นใจว่า เดี๋ยวมันไปต่ออีกแน่ๆ เสร็จแล้ว มันก็จะไปต่อไม่ไหว แล้วก็ออกข้างกันไปเรื่อยๆ 55
- รอบนี้ ก็ไม่มีใครรู้อนาคต ว่า การล้างยับรอบนี้ คือจุดเริ่มต้นของการพักตัวยาวๆ ไปตลอดทั้งปี 2024 อีกหรือไม่ หรือจะไปต่อถึง 100k หรือแม้แต่ 1M เหมือนที่กูรูต่างๆ ได้ทำนายกันไว้
- แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่คุณควรจะเรียนรู้มาจากคนที่ดอยในปี 2021 ก็คือ.... เป็น 2 ปีกว่าที่สูญเปล่า เพราะสุดท้าย เงินที่คุณไปดอย มันก็กลับมีอยู่เท่าเดิม ( ยังไม่นับคนที่ไปตัดใจคัทลอสขายที่ก้นอีกนะ 555 )
- ดังนั้น รอบนี้ ใครที่จั่วดอยไปแล้ว รวมถึงคนที่ดอยมาจากปี 2021 ก็ขอให้วางแผนรับมือกันดีๆ นะครับ อย่าไปกาวอะไรกับข่าวมาก โดยเฉพาะไอ้ข่าวที่ชอบบอกว่า ปีนี้จะไม่เหมือนก่อน เพราะสถาบันเข้ามาแล้วผ่าน ETF ....เพราะสมัยปี 2021 เพื่อนผมมันก็เถียงกับผม และไม่ฟังผม ที่เตือนมัน เพราะมันไปเชื่อแนวคิดนี้น่ะแหละ 555
เเผนเทรด Harmonic สัปดาห์ที่เเล้วHarmonic Pattern คืออะไร? อธิบายง่ายๆ สำหรับมือใหม่ Forex
Harmonic pattern เป็นหนึ่งในรูปแบบกราฟเทรดที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยระดับ Fibonacci และพฤติกรรมราคาที่มีความเชื่อมโยงรูปแบบเรขาคณิตเข้ามาเกี่ยวข้อง เราเรียกรูปแบบนี้ว่า harmonic pattern ตามชื่อของ Harold McKinley Gartley ผู้ที่คิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาครั้งแรกในปี 1932 โดยเขาได้เขียนอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพทเทิร์นดังกล่าวในหนังสือของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการเทรดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหตุผลที่เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนนี้ เนื่องจากว่ามันสามารถใช้เพื่อระบุ PRZ (Potential Reverse Zone) เพื่อขยายโอกาสในการทำกำไร ลดความเสี่ยงจากการขาดทุน และเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเปิดออเดอร์นั่นเองครับ ตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ตัวเลข Fibonacci และแพทเทิร์นทางเรขาคณิตต่างๆ ในการคาดการณ์จุดที่ราคาอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง (Price Turning Point)
ตลาดแทงโก: ปลดปล่อยความลับของ "คู่ที่หกล่าง" การเต้น
บนเวทีใหญ่ของตลาดการเงิน ทุกคนในตลาดกำลังมองหาคู่ที่สามารถนำเสนอให้พวกเขาเต้นแทงโกได้ดี "Twisted Pair" ตัวชี้วัดเป็นคู่ที่เต้นได้สวยงามในความผันผวนของตลาด มันสร้างความสอดคล้องของตลาดด้วยเส้นสองเส้น ช่วยให้ผู้ซื้อขายหาความสอดคล้องในพื้นที่เต้นรำของตลาด
นึกภาพว่าตลาดเงียบเหงาเหมือนน้ำ "Twisted Pair" จะเหมือนเส้นผ้าสองเส้นที่พับพันกันอย่างแน่นอน พวกเขาเกือบคับคั่งกันบนแผนภูมิ ราวกับว่า "ตอนนี้ ขอให้เราสนุกสนานกับขั้นตอนเต้นที่เงียบเหงา" นี่คือช่วงเวลาการรวมตัวของตลาด การเปลี่ยนแปลงราคาไม่มีความสำคัญ ผู้ซื้อขายสามารถผ่อนคลายและชื่นชมทุกรายละเอียดของตลาดอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารตลาดชอบเปลี่ยนแปลงเพลงโดยไม่เตือน กราวุ่นขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นพื้นที่เต้นรำที่เงียบเหงาจะกลายเป็นที่เข้มข้น ณ จุดนี้เส้นสองเส้นของ "Twisted Pair" จะเริ่มแยกตัว พวกเขาเหมือนนักเต้นที่ถูกจุดไฟด้วยความกระตือรือร้น แสดงท่าเต้นที่ไม่เหมือนใคร ขณะที่เส้นสองเส้นแยกตัว นั่นคือการบอกผู้ซื้อขายว่า "คุณพร้อมหรือยัง? ตลาดกำลังจะเต้น ถึงเวลาที่จะแสดงทักษะการเต้นของคุณแล้ว!"
การเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด "Twisted Pair" เหมือนเครื่องวัดความคิดเห็นของตลาด เมื่อเส้นสองเส้นเชื่อมกันอย่างใกล้ชิด ความคิดเห็นของตลาดจะคงที่ยั่งยืน และผู้ซื้อขายสามารถสังเกตอย่างเรียบร้อยและรอโอกาส แต่เมื่อเส้นพกพากัน ความคิดเห็นของตลาดสูงขึ้น และผู้ซื้อขายต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อจับจังหวะช่วงเวลาที่อาจนำไปสู่กำไร
วิธีการคำนวณตัวชี้วัดนี้เหมือนการเต้นรำที่จัดทำอย่างระมัดระวัง มันจับความเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยคำนวณราคาเฉลี่ย การเคลื่อนไหวเฉลี่ยของปริมาณการซื้อขาย และความผันผวนระยะสั้นของราคา ค่าเหล่านี้เหมือนขั้นตอนของนักเต้น ทุกขั้นตอนที่ถูกต้องและมีพลัง ทำให้ผู้ซื้อขายสามารถติดตามความเร็วของตลาดได้
ในการใช้งานจริงๆ ตัวชี้วัด "Twisted Pair" ไม่ใช่แค่เส้นบนแผนภูมิที่ไม่เคลื่อนที่ มันเหมือนคู่เต้นรำที่มีชีวิต สามารถตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของตลาด และนำเสนอผู้ซื้อขายให้ตอบสนองอย่างยืดหยุ่นในพื้นที่เต้นรำของตลาด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาเงียบสงบของตลาดหรือระหว่างความผันผวน สามารถให้สัญญาณที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อขายตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ตอนนี้ ขออธิบายความเข้าใจของตลาดในภาษาธรรมชาติของโค้ดนี้:
- **HJ_1**: นี่คือพื้นฐานของขั้นตอนเต้นของตลาด โดยคำนวณราคาเฉลี่ยและปริมาณการซื้อขาย ตั้งค่าความเร็วของความคิดเห็นของตลาด
- **HJ_2** และ **HJ_3**: เส้นสองเส้นนี้คือแขนของคู่เต้น พวกเขาช่วยให้ผู้ซื้อขายระบุแนวโน้มระยะยาวของตลาดผ่านการทำให้เป็นเนียน
- **HJ_4**: นี่คือกล้องขยายความคิดเห็นของตลาด มันเปิดเผยความตึงเครียดและความน่าสนใจของตลาดโดยคำนวณความผันผวนระยะสั้นของราคา
- **A7** และ **A9**: เส้นสองเส้นนี้คือแนวทางของขั้นตอนเต้น พวกเขาแยกตัวเมื่อความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้น นำเสนอผู้ซื้อขายไปในทิศทางที่ถูกต้อง
- **WATCH**: นี่คือไฟสัญญาณของการเต้น เมื่อเส้นสองเส้นคับคั่งกัน ตลาดเงียบสงบ เมื่อเส้นพกพากัน ตลาดเข้มข้น
ตัวชี้วัด "Twisted Pair" เหมือนการเต้นรำที่จัดทำอย่างระมัดระวัง มันช่วยให้ผู้ซื้อขายหาความเร็วของตนเองในพื้นที่เต้นรำของตลาด ไม่ว่าจะเป็นเต้นรำช้าๆ หรือแทงโกที่กระตือรือร้น ขอจำไว้ว่าตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และ "Twisted Pair" เป็นคู่เต้นที่สมบูรณ์ที่สามารถนำเสนอให้คุณเต้นขั้นตอนที่สวยงามได้ ต่อไปนี้ แมวจะแนะนำโค้ด TradingView สำหรับตัวชี้วัดนี้:
// ____ __ ___ ________ ___________ ___________ __ ____ ___
// / __ )/ / / | / ____/ //_/ ____/ |/_ __< / // / / __ |__ \
// / __ / / / /| |/ / / ,< / / / /| | / / / / // /_/ / / __/ /
// / /_/ / /___/ ___ / /___/ /| / /___/ ___ |/ / / /__ __/ /_/ / __/
// /_____/_____/_/ |_\____/_/ |_\____/_/ |_/_/ /_/ /_/ \____/____/
// This source code is subject to the terms of the Mozilla Public License 2.0 at mozilla.org/MPL/2.0/
// © blackcat1402
//@version=5
indicator(title=" L2 Twisted Pair Indicator", shorttitle="TPI", overlay=true)
//define DEMA
DEMA_function(src, length) =>
ema1 = ta.ema(src, length)
ema2 = ta.ema(ema1, length)
2 * ema1 - ema2
//define TEMA
TEMA_function(src, length) =>
ema1 = ta.ema(src, length)
ema2 = ta.ema(ema1, length)
ema3 = ta.ema(ema2, length)
3 * (ema1 - ema2) + ema3
//input
swi = input.string(title="Switch", options= , defval="EMA")
ma(src, length) =>
out = swi == "DEMA" ? DEMA_function(src, length) : swi == "TEMA" ? TEMA_function(src, length) : ta.ema(src, length)
out
//Twisted Pair algorithm
HJ_1 = (high + low + close) / 3 * volume
HJ_2 = ma((ma(HJ_1, 3) / ma(volume, 3) + ma(HJ_1, 6) / ma(volume, 6) + ma(HJ_1, 12) / ma(volume, 12) + ma(HJ_1, 24) / ma(volume, 24)) / 4, 13)
HJ_3 = 1.08 * HJ_2
HJ_4 = ma(HJ_3 - (ma(close, 3) - HJ_3), 5)
A7 = HJ_4 <= HJ_3 ? HJ_4 : HJ_3
HJ_5 = 2 * HJ_3 - A7
A9 = HJ_5 >= HJ_3 ? HJ_5 : HJ_3
WATCH = A7 == A9 ? A7 : na
plot(A7, color=color.yellow, linewidth=2)
plot(A9, color=color.yellow, linewidth=2)
plot(WATCH, color=color.green, linewidth=2, style = plot.style_steplinebr)
HJ_6 = close * 1.1 - close < 0.01 and high == close
HJ_7 = HJ_3 >= HJ_3 and A7 < A7 and close > HJ_3 and open > HJ_3
// plot candle color indications
plotcandle(open, (open + close) / 2, open, (open + close) / 2, color=HJ_7 ? color.yellow : na)
plotcandle(close, (open + close) / 2, close, (open + close) / 2, color=HJ_7 ? color.red : na)
โค้ดของ "Twisted Pair" นี้ใช้การเคลื่อนไหวเฉลี่ย (EMA) ของ 3 ประเภทที่แตกต่างกัน: EMA (Exponential Moving Average), DEMA (Double EMA) และ TEMA (Triple EMA) ประเภทเหล่านี้สามารถเลือกโดยผู้ใช้ผ่านการเข้ารหัสข้อมูลการเปลี่ยนแปลง
นี่คือฟังก์ชันหลักของโค้ดนี้:
1. กำหนดฟังก์ชัน DEMA และ TEMA: ฟังก์ชันสองฟังก์ชันนี้ใช้ในการคำนวณการเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่เหมาะสม EMA เป็นการเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ให้น้ำหนักมากขึ้นกับข้อมูลล่าสุด ในย่อหน้า ema1 เป็น EMA ของ "ความยาว" และ ema2 เป็น EMA ของ ema1 DEMA เป็น 2 เท่าของ ema1 ลบ ema2
2. ให้ผู้ใช้เลือกใช้ EMA, DEMA หรือ TEMA: ส่วนนี้ของโค้ดให้ผู้ใช้เลือกประเภทการเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ต้องการใช้
3. กำหนดอัลกอริทึมที่เรียกว่า "Twisted Pair Algorithm": ส่วนนี้ของโค้ดกำหนดอัลกอริทึมที่ซับซ้อนเพื่อคำนวณค่าที่เรียกว่า "HJ" อัลกอริทึมนี้เกี่ยวข้องกับการคำนวณที่ซับซ้อนและการใช้งานของ EMA, DEMA, TEMA
4. วาดแผนภูมิ: โค้ดต่อไปนี้ใช้ในการวาดแผนภูมิบน TradingView มันใช้ฟังก์ชัน plot เพื่อวาดเส้น ใช้ฟังก์ชัน plotcandle เพื่อวาดแผนภูม
วิธีใช้ L3 Emotion Line **คู่มือการใช้งานตัวชี้วัดทางเทคนิค Emotion Line ของ TradingView**
**I. ภาพรวม**
Emotion Line เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่มีความคิดใหม่ที่สามารถตรวจจับความรู้สึกของตลาดโดยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงราคา ตัวชี้วัดนี้ควบคุมค่าเฉลี่ยของราคาเปิดราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 วันล่าสุด และรวมความคิดของเฉลี่ยเคลื่อนที่มีการปรับเปลี่ยน (DMA) และเฉลี่ยเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น (EMA) เพื่อสร้างค่าที่สะท้อนความรู้สึกของตลาด ตัวชี้วัดนี้ถูกปรับปรุงด้วยภาษา Pine Script บนแพลตฟอร์ม TradingView ซึ่งให้ผู้ใช้งานเครื่องมือที่ง่ายต่อความเข้าใจในการวิเคราะห์ความรู้สึกของตลาด
**II. วิธีการคำนวณ**
1. **เส้นรัง (Ray)**: คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาใน 3 วันล่าสุด ดังนี้ (2 * C + H + L) / 4 โดยที่ C คือราคาปิด H คือราคาสูงสุด และ L คือราคาต่ำสุด จากนั้นหาเฉลี่ยเคลื่อนที่มีการปรับเปลี่ยน (SMA) ของค่าเฉลี่ยนี้ในระยะ 3 วันโดยใช้ปัจจัยการปรับปรุง 2
2. **เส้นปิด (CL)**: ให้ค่าเส้นรังกับ CL ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับการคำนวณต่อไป
3. **DIR1 (การเปลี่ยนแนวโน้ม)**: คำนวณค่าต่างของ CL กับ CL 2 วันก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงความใหญ่ของการเคลื่อนไหวของราคา
4. **VIR1 (ปริมาณในช่วง)**: คำนวณผลรวมของค่าต่างของ CL กับ CL 1 วันก่อนหน้านี้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งวัดความสะสมของการเปลี่ยนแปลงราคา
5. **ER1 (อัตราการทำงาน)**: ผลควบคุมของ DIR1 กับ VIR1 ซึ่งวัดความมีประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวของราคา
6. **CS1 (ความแรงที่สะสม)**: ใช้กระบวนการที่มีน้ำหนักกับ ER1 เพื่อได้ CS1
7. **CQ1 (ควอนตัมที่สะสม)**: ควอนตัมของ CS1 ซึ่งเสริมความสำคัญของผลกระทบที่สะสมของการเคลื่อนไหวของราคา
8. **AMA5 (เฉลี่ยเคลื่อนที่ปรับปรุง)**: คำนวณเฉลี่ยเคลื่อนที่มีการปรับเปลี่ยน (DMA) ของ CL ด้วยปัจจัยการปรับปรุง CQ1 จากนั้นใช้เฉลี่ยเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น (EMA) สำหรับผลลัพธ์นี้ในระยะเวลา 2 วัน
9. **ต้นทุน (Cost)**: คำนวณเฉลี่ยเคลื่อนที่ง่าย (SMA) ของ AMA5 ในระยะเวลา 7 วัน
10. **CLX (เส้นที่สะสม)**: คำนวณผลรวมของ AMA5 และต้นทุนเพื่อได้ CLX
11. **เส้นความรู้สึก (Emotion Line)**: คำนวณส่วนที่ CLX เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน N วัน โดย N มีค่าเริ่มต้นเป็น 7 วัน คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อได้ค่าเส้นความรู้สึก
12. **MA_เส้นความรู้สึก (เฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นความรู้สึก)**: คำนวณเฉลี่ยเคลื่อนที่ N วันของเส้นความรู้สึก โดย N มีค่าเริ่มต้นเป็น 6 วัน
**III. ลักษณะตลาด**
ด้วยการวิเคราะห์ผลกระทบที่สะสมและความมีประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวของราคา เส้นความรู้สึกพยายามเปิดเผยความแรงของความรู้สึกของตลาด เมื่อเส้นความรู้สึกเพิ่มขึ้น นั่นหมายความรู้สึกของตลาดเป็นบวก และนักลงทุนอาจมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อสัญญาซื้อ-ขาย เส้นความรู้สึกที่ลดลงอาจแสดงความรู้สึกของตลาดที่อ่อนแอก ความจริงและการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเส้นความรู้สึกสามารถให้ข้อมูลสำหรับการซื้อขายหรือถือครอง
**IV. การใช้งาน**
1. **สัญญาณการสนใจ**: เมื่อเส้นความรู้สึกเกิน 20% นั่นหมายความรู้สึกของตลาดอาจเริ่มต้นเป็นบวก และนักลงทุนควรสนใจสัญญาซื้อ-ขายที่เกี่ยวข้อง
2. **สัญญาณการเข้าสู่ตลาด**: เมื่อเส้นความรู้สึกเกิน 40% นั่นหมายความรู้สึกของตลาดมีความแข็งแกร่ง และนักลงทุนอาจพิจารณาเข้าสู่ตลาด
3. **สัญญาณการลดตำแหน่ง**: เมื่อเส้นความรู้สึกเกิน 80% นั่นหมายตลาดอาจมีความรู้สึกที่เกินไป และนักลงทุนควรพิจารณาการลดตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
4. **สัญญาณการออกจากตลาด**: เมื่อเส้นความรู้สึกลดลงต่ำกว่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ N วัน นั่นอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของตลาด และนักลงทุนควรพิจารณาการออกจากตลาด
**V. หมายเหตุ**
- เส้นความรู้สึกเป็นเครื่องมือเสริมแกร่ง และนักลงทุนควรทำการประเมินที่รวมทั้งเทคนิคและพื้นฐานเพื่อเสริมความเข้าใจ
- ความรู้สึกของตลาดถูกกระทำโดยปัจจัยหลายอย่าง และเส้นความรู้สึกอาจมีความล่าช้า ดังนั้นนักลงทุนควรใช้อย่างระมัดระวัง
- นักลงทุนควรปรับปรุงค่าเริ่มต้นของเส้นความรู้สึกตามความสามารถในการรับผิดชอบความเสี่ยงและกลยุทธ์การลงทุนของตน
**VI. สรุป**
เส้นความรู้สึกเป็นตัวชี้วัดที่ใช้งานง่ายที่สะท้อนความรู้สึกของตลาดด้วยวิธีการควบคุมจำนวน ซึ่งให้ความเข้าใจใหม่สำหรับนักลงทุนในการติดตามความเร็วของตลาด อย่างไรก็ตามไม่มีตัวชี้วัดทางเทคนิคที่สมบูรณ์แบบ และนักลงทุนควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยรวมความประสบการณ์ส่วนตัวและสภาพตลาดเพื่อตัดสินใจ การใช้แพลตฟอร์ม TradingView จะช่วยให้นักลงทุนเพิ่มเส้นความรู้สึกลงในแผนภูมิเพื่อสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจในการซื้อขาย
[blackcat] L5 ALGOLD: การครอบคลุมแนวโน้มที่ถูกปลดปล่อยตัวชี้วัด " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ข้อมูลปริมาณและราคาเพื่อสร้างสัญญาณที่ทันสมัยมากขึ้น มีคุณสมบัติที่ปรับแต่งได้หลากหลาย เช่น ตั้งค่า Alchemy, ตั้งค่า DVATR, และการตั้งค่าการแยกต่าง มีภาพที่สวยงามและสื่อความหมายได้ง่าย สามารถปรับให้เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของคุณ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการแกะรหัสความลึกลับของตลาด
ยินดีต้อนรับสู่โลกของการซื้อขาย ที่แผนภูมิเป็นภาษาหลักและตัวชี้วัดเป็นนักแปล! วันนี้ เราจะดำดินเข้าสู่สามารถของ " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" - ตัวชี้วัดที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นผู้นำทางแนวโน้มที่เต้นตามจังหวะของตลาด
**การเกิดของ ALGOLD:**
ALGOLD คือผลงานจาก blackcat1402 ที่เกิดขึ้นในซอยดิจิตอลของ TradingView ที่ตัดสินใจว่า 'lag' ไม่ยินดีต้อนรับในคำศัพท์ของมัน ตัวชี้วัดที่ตามแนวโน้มนี้ไม่ใช่แค่เส้นอีกเส้นหนึ่งบนแผนภูมิของคุณ แต่เป็นเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันข้อมูลปริมาณและราคา ลองจินตนาการถึงตัวคลื่นเต่า MACD แต่มี lag น้อยลงและมีสไตล์มากขึ้น นั่นคือ ALGOLD สำหรับคุณ! มันคือตัวชี้วัดที่ตามแนวโน้มที่ผสมข้อมูลปริมาณและราคาเพื่อสร้างตัวคลื่นเต่า MACD ที่มุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหา lag ที่เป็นประจำในตัวชี้วัดที่ใช้ข้อมูลราคาเท่านั้น การรวมข้อมูลปริมาณที่นำเสนอด้วยข้อมูลราคาที่ lag เป็นวิธีการที่ฉลาดในการสร้างสัญญาณที่ทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้การรวมตัวกรองความผันผวนเพื่อลดสัญญาณเท็จในตลาดที่เป็น sideways ก็เป็นการปรับปรุงที่น่าสนใจ
ตัวชี้วัด " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" กำลังจะกลายเป็นคอมพรีหนซีฟมากขึ้น มันรวมอยู่ด้วยกัน:
1. ตัวกรองแบบปรับได้สำหรับการปรับเรียบข้อมูลราคาและปริมาณ
2. ตัวกรองความผันผวนตาม Average True Range (ATR)
3. เคลื่อนที่เฉลี่ยเพื่อสร้างข้อมูลราคาที่เรียบ
4. ALMA (Arnaud Legoux Moving Average) สำหรับการกรองราคาและปริมาณเพิ่มเติม
5. เครื่องตรวจจับความแตกต่างเพื่อระบุแนวโน้มที่อาจกลับกัน
ตัวกำหนดพารามิเตอร์ของตัวชี้วัด " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม:
1. **การตั้งค่า Alchemy**:
- Alchemy Sharpness (ค่าเริ่มต้น: 7) - ควบคุมความคมของตัวกรองแบบปรับได้.
- Alchemy Period (ค่าเริ่มต้น: 55) - กำหนดความราบเรียบของคลื่นนาฬิกา.
2. **การตั้งค่า DVATR**:
- DVATR Length (ค่าเริ่มต้น: 11) - ตั้งค่าระยะเวลาสำหรับ DVATR คล้ายกับความยาว ATR.
- DVATR Threshold (ค่าเริ่มต้น: 0.07) - ปรับความไวสำหรับการตรวจจับตลาดแนวข้าง.
- Smooth Length (ค่าเริ่มต้น: 21) - ทำให้ผลลัพธ์ของ DVATR เรียบ การสมดุลกับการตรวจจับความผันผวน.
3. **การตั้งค่าการแยกต่าง**:
- พารามิเตอร์เช่น Pivot Lookback, Max/Min of Lookback Range - ตั้งค่าความไวสำหรับการตรวจจับการแยกต่าง.
- ตัวเลือกเพื่อเปิดหรือปิดการพล็อตสำหรับประเภทต่าง ๆ ของการแยกต่าง (บวก, ซ่อนการเป็นบวก, ลบ, ซ่อนการเป็นลบ)
**การผสมผสานระหว่าง Alchemy และ Trading:**
ในหัวใจของ ALGOLD คือ 'การตั้งค่า Alchemy' คุณควรคิดถึงมันเป็นซอสลับที่ให้คุณสมบัติพิเศษแก่ตัวชี้วัดนี้ ด้วยปุ่ม 'Alchemy Sharpness' และ 'Alchemy Period', คุณไม่ได้เพียงแค่ปรับเรียบข้อมูล; คุณกำลังสร้างศิลปะทางการเงิน ความคมกำหนดบรรยากาศ และช่วงเวลาตัดสินทัศนคติ
**การจำกัดเสียงดังของตลาดด้วย DVATR:**
ตลาดแนวข้าง? ALGOLD หัวเราะหน้าเหล่านี้ด้วยการตั้งค่า DVATR ใช้ ATR เป็นฐาน, คุณสมบัตินี้กรองสิ่งที่ตลาดบอกและเสียงที่ตลาดส่งออก, แยกแยะระหว่างการชาร์จของสิงโตและการเดินของแมว มันเหมือนมีแหวนวัดอารมณ์ของตลาดในแผนภูมิของคุณ!
**ดำน้ำหาความคลาดเคลื่อน:**
การตั้งค่า 'Divergence' ที่นี่ ALGOLD ทำหน้าที่เป็นนักสืบ มันจับตาดูการกลับทิศของตลาดที่ซับซ้อน ด้วยการตั้งค่า lookback หลากหลายและตัวเลือกในการพล็อตประเภทการแยกต่างๆ มันเหมือนการให้แว่นตาของนักสืบกับแผนภูมิของคุณ
**ซิมโฟนีทางภาพ:**
ตอนนี้มาคุยเรื่องภาพกัน ถ้า ALGOLD เป็นหนัง มันจะได้รับรางวัลออสการ์สำหรับภาพเอฟเฟกต์ที่ยอดเยี่ยม ตัวชี้วัด " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" มีภาพที่สดใสและสื่อความหมายได้ง่าย:
1. **สีแท่งเทียน**: สีของแท่งเทียนเปลี่ยนไปตามแนวโน้ม สีที่อบอุ่นสำหรับแนวโน้มขาขึ้น และสีเย็นสำหรับแนวโน้มขาลง
2. **สีและรูปร่างของเส้น**:
- สีเขียวแทนเส้นที่เร็ว, สีแดงสำหรับเส้นที่ช้า
- การตัดกันของเส้นเหล่านี้ส่งสัญญาณการเข้า (สามเหลี่ยม) และการออก (รูปกากบาท)
- สร้างแถบระหว่างเส้นเหล่านี้ สีเขียวสำหรับแนวโน้มขาขึ้น และสีแดงสำหรับแนวโน้มขาลง
3. **ฮิสโตแกรม**:
- ฮิสโตแกรมสีแดงสำหรับมากกว่า 0 และแนวโน้มขาขึ้น
- ฮิสโตแกรมสีน้ำเงินสำหรับมากกว่า 0 และการถอยกลับ
- ฮิสโตแกรมสีเขียวสำหรับน้อยกว่า 0 และแนวโน้มขาลง
- ฮิสโตแกรมสีเหลืองสำหรับน้อยกว่า 0 และการกระเด้งขึ้น
แท่งเทียนเปลี่ยนสีเหมือนจามิเลียน ปรับตัวตามอารมณ์ของตลาด เส้นเร็ว (สีเขียว) และเส้นช้า (สีแดง) เต้นบนหน้าจอของคุณ สร้างภาพที่สวยงาม เมื่อพวกเขาตัดกัน มันไม่ใช่แค่สัญญาณ แต่เป็นการประกาศ!
**ฮิสโตแกรมที่พูดถึงปริมาณ:**
ฮิสโตแกรมของ ALGOLD เป็นนักเล่าเรื่องที่มีสิทธิ์เป็นของตัวเอง ลองจินตนาการถึงแผนภูมิแท่งเส้นที่ไม่เพียงแค่แสดงทิศทางของตลาด แต่ยังแสดงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แท่งสีแดงสำหรับแนวโน้มขาขึ้น สีน้ำเงินสำหรับการระบายที่ซุบซ้อน สีเขียวสำหรับแนวโน้มขาลง และสีเหลืองสำหรับการกระเด้งขึ้น มันเหมือนการมีการพยากรณ์สภาพอากาศของตลาดในปลายนิ้วของคุณ!
**เข้าและออก: การเต้นของวัวและหมี:**
- **เกณฑ์การเข้า**: การสลับและสลับของเส้นที่เร็วและช้าของออสซิลเลเตอร์ ALGOLD
- **เกณฑ์การออก**: การสลับและสลับของเส้นที่เร็วและช้าของออสซิลเลเตอร์ ALGOLD แต่ใช้เวลาที่ต่ำกว่าสำหรับความไวมากขึ้น
เมื่อมาถึงการเข้าและออกจากการซื้อขาย ALGOLD คือเหมือนครูสอนเต้นที่มีประสบการณ์ สัญญาณการเข้าคือการสลับและสลับที่สอดคล้องกันของเส้นที่เร็วและช้า บอกคุณว่าเมื่อควรจะเข้า และเมื่อถึงเวลาที่ควรจะถอนตัว? การสลับและสลับที่คล้ายคลึงกับเวลาที่ต่ำกว่าจะให้คุณกระตุ้น มันเหมือนการมีคู่เต้นที่รู้ว่าเมื่อควรจะนำและเมื่อควรจะตาม
**การปรับแต่ง: คุณสามารถปรับตัวชี้วัดให้ตรงกับสไตล์การซื้อขายของคุณ:**
มีอะไรมากกว่านั้นหรือไม่? ALGOLD ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่สามารถใช้กับทุกคนได้ ด้วยการตั้งค่าที่สามารถปรับแต่งได้ คุณสามารถปรับให้มันเหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของคุณ ไม่ว่าคุณจะชอบการซื้อขายที่สมูทและช้า หรือเร็วและรุนแรง ALGOLD สามารถปรับตัวเองให้เหมาะสมกับคุณ มันเหมือนสูทที่ถูกสั่งทำสำหรับตัวชี้วัดการซื้อขาย!
**รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน:**
ดังนั้น นี่คือสิ่งที่คุณได้รับ นักเทรด " L5 Alchemy Gold (ALGOLD)" ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัด แต่เป็นเข็มทิศของตลาด ผู้แปลแนวโน้ม และที่ปรับตัวชี้วัดให้เข้ากับสไตล์การซื้อขายของคุณ ทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้าด้วยกันในหนึ่งชุดที่สวยงาม ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มต้น ALGOLD เป็นพันธมิตรของคุณในการแกะรหัสความลึกลับของตลาด
ขณะที่เราสรุปการทัวร์ ALGOLD นี้ อย่าลืมว่าตลาดเป็นสนามรำและด้วย ALGOLD คุณมีความพร้อมในการเต้นรำเสมอ ทดสอบมัน ปรับแต่งมัน และทำให้มันเป็นของคุณเอง และใครจะรู้ว่า ด้วย ALGOLD อยู่ข้างๆ คุณอาจจะกลายเป็นตำนานการซื้อขายที่คุณควรจะเป็น!
การซื้อขายอย่างมีความสุขและขอให้แนวโน้มเสมออยู่ในทางของคุณ!
บทเรียนการเทรด ตลอด 6 ปีครึ่ง ของเทพคอยน์แวะมาอัพเดทพอร์ตกันบ้าง ตามสไตล์เทรดเดอร์ที่โปร่งใส ไม่หมกเม็ด ผมจะเล่าเป็นปีๆ ไปแล้วกันนะครับ เพื่อความง่ายและกระชับ ไม่งั้นเล่ายาวเกินคนขี้เกียจอ่าน
🟢2017
* เริ่มเข้ามาเทรดคริปโตช่วงกลางปี หลังจากรู้จักมาตั้งแต่ปี 2015 แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่
* เข้ามาเทรดก็ตามสไตล์เม่า ได้กำไรง่ายๆ จากเหรียญขยะจนคิดว่า “โอ้โห ถ้าทำได้ขนาดนี้ สักพักก็ได้มากกว่าเงินเดือนอีกนะเนี่ย!” ว่าแล้วก็เลยจัดหนัก มีเท่าไหร่ ใส่เต็มเหนี่ยว
* เจอตลาดพักฐานช่วงปลายๆ ปี ดอยเหรียญขยะ พอร์ตหายไปกว่า -50% ทำอะไรไม่ถูกตามสไตล์เม่า หากูรูลอกโพยเหรียญไปเรื่อย ลงคลาสไปเรื่อยใครอวดกำไรก็ตามไปหมด
* คัทเหรียญที่ดอยมาเข้าเหรียญขยะตามโพยกูรู ได้อานิสงค์ bull run ช่วงปลายปี 2017 จนพอร์ตกลับมาฟื้นเป็น “เท่าทุน”
🟢2018
* ปีแห่งการเผาจริง ช่วงต้นปีก็ยังเชื่อกูรูว่าตลาดจะไปต่อ ก็ไปดอยเหรียญเต็มไปหมด ตอนนั้นใช้บอทของ อจ. ท่านหนึ่งด้วย ก็พาดอยเหรียญขยะยับๆ
* พอสักมีนาเริ่มเห็นท่าไม่ดี พอร์ตเริ่มกลับมาลบหนักเหมือนเดิม ก็เลย ตัดใจคัทเหรียญในบอททิ้งทั้งหมด แล้วมาเทรดมือแทน แต่ยิ่งเทรดก็ยิ่งเจ๊ง ยิ่งเทรดยิ่งจน
* เริ่มเขียนกลยุทธ ลองกลยุทธเทรดสั้นไปเรื่อย เอาไปใช้กับบอท ผล backtest โคตรดี เทรดจริงยับๆ
* ช่วงตลาดนิ่งๆ ช่วงปลายปี 2018 เริ่มทำกำไรยาก เลยใช้ leverage 20x กับเอาเงินใส่ไปเยอะ เพราะไปเชื่อวาทกรรมว่า ทุนขุด 6k ไม่ลงต่ำไปกว่านี้ และถ้า break สามเหลี่ยมนี้ก็จะขึ้นยาว
* แต่อนิจจา กลายเป็นว่ามัน break ลงแทน สรุปวันเดียวขาดทุนไปกว่า -80% จากที่เจ๊งๆ อยู่แล้วก็เจ๊งหนักกว่าเดิม เครียดมาก
* ปิดปีแบบอนาถ ได้ๆ สักพักก็คืนกำไร เทรดมั่วไปหมด แต่ก็ถือว่าเป็นปีที่ได้บทเรียนอะไรมาเยอะมากๆ
🟢2019
* เริ่มปีมาด้วยความเศร้าจากปีที่แล้ว มีแต่กูรูทำนายกันว่า BTC จะลงไป 1000$ บ้าง 800$ บ้าง 2000$ บ้าง แช่งกันไปดิ ( ตอนนั้น BTC แกว่งๆ อยู่ราวๆ 3200$-3800$
* เริ่มซึมซับความรู้ในการเทรดตามระบบ trend following จากปู่ Peter Brandt ที่ อจ.ที่เขียนบอทได้มอบหมายให้ผมแปลบทความลงห้อง VIP ให้ บอกเลยว่านี่คือจุดเปลี่ยนมุมมองของผมในการเทรดไปเลย
* เริ่มดูเทรนออก และทันขึ้นรถตอนกราฟ week เป็นขาขึ้นช่วง BTC ทะลุ 4500 มาได้
* เนื่องจากยังรีบอยากรวยเร็ว ทำให้ตอนนั้นไปใช้ leverage 5x แบบ all-in ทำให้แค่สองเดือน ที่ BTC ขึ้นจาก 5,000$ ไป 14,000$ พอร์ตโตขึ้นมาถึง +160%
* แต่ กำไรที่ได้มาจากโชค ไม่ใช่ความรู้ เราก็จะต้องคืนกลับไปให้ตลาดอยู่ดี… สุดท้ายช่วงที่ BTC ออกข้างไปเรื่อยๆ ในช่วงกลางปี 2019 ก็เริ่มคืนกำไรไปเรื่อยๆ
* พอเทรดเองไม่ได้กำไร ก็ไปเริ่มซนหาเครื่องมือมาช่วย ตอนนั้นเห็น อจ.ท่านหนึ่งแนะนำ scavenger bot เป็นบอทเทรดสองหน้าแบบสะสม position ไปทุกๆ 1 นาที แล้วจะสร้าง order ไปเรื่อยๆ เพื่อจะกิน maker fee ที่ Bitmex ช่วงแรกๆ ก็ได้กำไรคำเล็กๆ จากค่า fee มาเรื่อยๆ เพราะกราฟมันยังนิ่งๆ สะบัดแคบๆ
* พอกราฟหลุด 10k ลงมา 7k เท่านั้นแหละจ้า ความชิบหายบังเกิด ขาดทุนยับ เพราะบอทแม่งสะสม position ใหญ่มากๆ จนโดนลากแบบอย่างโหด ส่วนคำแนะนำของ อจ.ก็คือ ให้เติมสู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็กลับมา ( อจ. เขาบอกให้เตรียม BTC เผื่อไว้สัก 2-3 BTC สำหรับหน้าที่โดนลาก เพื่อเติมไปสู้ )
* สุดท้ายก็ไม่ยอมเชื่อ และไม่เติม และคัทหนีออกมาก่อน ซึ่งก็คิดถูกแล้ว เพราะถ้าไม่คัทคงบ้าตายไปซะก่อน
* ยัง ยังไม่พอ ไปเชื่อเพื่อนที่ได้บอท martingale forex มาอีก ทรงเดียวกันกับบอทก่อนหน้าเด๊ะ แต่คิดว่า “มันคงลองมาแล้ว น่าจะเชื่อถือได้” ก็เลยโอนเงินไปลองใช้ดู .. สรุปก็โดนลากเหมือนกัน เจ๊งเหมือนกัน เด๊ะ แต่ดีหน่อยที่ไหวตัวทันก็เลยรีบคัทหนีออกมาก่อน แต่ก็เจ็บหนักอยู่ดี
* สรุปแล้ว ปีนี้ ที่ได้กำไรมาเยอะช่วงกลางปี แต่พอคิดว่า “กำไรมันอยู่เฉยๆ ก็เสียดาย เราต้องเอาไปต่อยอดสิ” แล้วก็ไปใช้บอทบ้าๆ บอๆ สุดท้ายก็เจ๊ง ก็เลยได้บทเรียนว่า “ไอ้สัส มึงได้กำไรมึงก็นั่งเฉยๆ ก็พอแล้ว” สรุปปีนั้นก็เลยขาดทุนยับๆ อยู่ดี ….. แต่ก็ได้บทเรียนที่ล้ำค่ามาเหมือนกัน
🟢2020
* หลังจากไปเรียนรู้แบบจุกจริงเจ็บจริงมาสองปี จนแทบเป็นบ้าแต่ก็ยังไม่เป็น ทำให้ปี 2020 เป็นปีที่เอาบทเรียนจากสองปีก่อนหน้ามาสร้าง “สิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะถ้าทำแล้วจะเสียตัง” เต็มไปหมด
* ตอนนั้นก็เลิกเทรดสั้นทั้งหมด เน้น TF Daily และทดลองระบบ Trend Following และนำมาใช้ แต่ดันไป over use มันเกิน เอามาใส่ในกราฟ 12 ระบบ ต้องรอมัน confirm 8 ระบบถึงจะเริ่มซื้อ กว่าจะได้ซื้อกราฟก็ไปหวันแล้ว
* แต่ข้อดี มันก็ยังมี เพราะหลังจากนั้น BTC เองก็เริ่มออกข้างซึมๆ ในช่วง Feb ก่อน covid dump จะมา ทำให้ทุกระบบมีสัญญาณ “ขาย” ออกทั้งหมด เพราะเราก็เชื่อระบบก็ขาย+ลดความเสี่ยงทั้งหมด ทำให้ตอน covid ก็รอดตายมาได้แบบสบายๆ
* ช่วงนั้นกูรูก็ออกมาฟันธงกันไปต่างๆ นาๆ ว่า ลงไม่ลึกหรอก ลงแค่ 8000 เดี๋ยวก็เด้งขึ้นเวฟ 1-2 หญ่ายยยย ขึ้นสู้งงงงงง หลายๆ คนไปเชื่อก็ไปซัดจัดหนักจัดเต็มกันแถวๆ โซน 8000 สุดท้ายมันก็รูดคืนเดียวลงไปถึง 3000 ใช้ leverage น้อยที่สุดก็ยังพอร์ตแตก … แต่ผมรอด + ได้กำไรมาด้วย เพราะซื้อ put option ทิ้งเอาไว้ 555
* หลังจากนั้น ก็เชื่อในระบบมาตลอด แต่ก็ปรับ fine tune มันอีกรอบ เพราะว่า ตอนที่ใช้ 8 ระบบ confirm มันช้าไป ก็ปรับเหลือแค่ 4 ระบบ และแยกไม้กันเข้าไปแทน ไม่รอเข้าพร้อมกันหมด และก็ใช้ 4 ระบบที่ว่า มาจนถึง ปัจจุบันนี้
* ความตลกร้ายของตลาดก็คือ ช่วงปลายปี 2020 กูรูก็ออกมาฟันธงกันเต็มไปหมดว่า ปี 2021 ตลาดจะพัง เกิดวิกฤตเหมือนตอน subprime ตลาดลงยับๆ หลายๆ คนก็ไม่กล้าซื้อกัน แต่ตอนนั้นระบบที่ผมใช้ มันก็เขียวแล้วไง ผมก็ไม่สนคำทำนายกูรู เราก็เข้าตามระบบไป.. ทำให้พอจบปี ก็ปิดบวกมาได้แบบชิวๆ
🟢2021
* ปีนี้แม้แต่ลิงก็ยังเป็นเซียนได้ สำหรับผม กำไรแค่นี้มันก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับพวกที่ไปเล่น DeFi, GameFi, NFT จนเปลี่ยนเงิน หกหลัก เป็น แปดหลัก แล้วก็โม้กันจนเต็มเฟส, youtube และ tiktok
* แต่ก็นั่นแหละ งานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา ผมที่ผ่านตลาดนรกช่วงปี 2018+2019 มาแล้ว ก็ได้บทเรียนชั้นดีมาว่า “ถ้าระบบบอกให้เราขาย เราก็ต้องขาย มาถือเงินสด จบนะ”
* ทำให้ช่วงตลาดลงจาก 65k มา 30k ตอนกลางปี… ผมก็รอดมาได้ และตอนตลาดเริ่มเสียทรงขาขึ้นตอนปลายปี … ผมก็รอดมาได้อีกอยู่ดี ทำให้สิ้นปี ปิดจ๊อบไปได้แบบเกินคาดอย่างมาก
* ปีนี้ผมโดนแขวน+ทัวร์ลงหนักมาก เพราะไปเตือนลงเพจเกี่ยวกับ DeFi ทำให้หลายๆ คนไม่พอใจ แล้วแคปไปด่ากันอย่างสนุกสนานในกลุ่มแชท ทำให้ผมได้บทเรียนมาเช่นเดียวกันว่า เออ ช่างแม่งเหอะ ใครจะทำไรก็ปล่อยมันทำไป เจ๊งก็เรื่องของมัน เพราะเงินมัน ไม่ใช่เงินเรา เราก็เตือนครั้งเดียวพอ สุดท้ายพอ GameFi, NFT มา ผมก็เลยขี้เกียจจะไปเตือนไรมาก … สุดท้าย ทุกตัว มันก็เจ๊งตามที่ผมได้เคยเตือนๆ ไว้
🟢2022
* ปีนี้เป็นปีที่โหดสัสสำหรับทุกตลาด เพราะคริปโตก็ลง หุ้นเมกาก็ลง หุ้นจีนก็ลง หุ้นไทยก็ลง หุ้นเวียดนามก็ลง คือลงกันหมด แต่มีอย่างเดียวที่ขึ้น คือ “USDTHB”
* ช่วงนั้นผมก็มีการแบ่งเงินบางส่วนไปเทรด USDT/THB ที่ bitkub โดยใช้หลักการ trend following ตามที่ผมใช้ๆ มาอยู่นี่แหละ สุดท้ายก็เลยพอทำกำไรมาช่วยจุนเจือพอร์ตคริปโต ที่พอร์ตนั้นปิดปีขาดทุนไปประมาณ -6% เพราะเข้าตามระบบ แล้วโดนสับขาหลอกตลอด
* มีจังหวะรอดตายหวุดหวิดคือ คืนที่ FTX เปิดวอร์กับ CZ ผมเห็นทรงแล้วดูไม่ดีเลยรีบโอนเงินออก รออยู่สองชั่วโมงกว่าจะได้เงินคืน ตอนรอนี่เหงื่อออกตูด เป็นสองชั่วโมงที่นานมากๆ ในชีวิต เพราะตอนนั้นเอาเงินไปฝากกินดอกที่ FTX แทบจะทั้งหมดของพอร์ตเลยก็ว่าได้ ถ้าช้ากว่านั้นอีกนิดเดียว ก็คงหมดตัว ไม่ได้มาโม้ตามโพสนี้ 5555
* อีกช๊อตที่รอดตายคือ ตอนแรกก็เอาเงินไป lock ไว้ที่ zipmex แล้วพอเริ่มเห็นว่า rate มันไม่ดี พอ unlock ได้ก็ถอนออกมาหมด ทำให้ไม่มีเงินใน zipmex เลยก่อนที่มันจะล้ม ซึ่ง.. จริงๆ ก่อนหน้านั้นเคยวางแผนว่าจะเอาไปฝากไว้ที่นั่นยาวๆ เพราะ “เป็น exchange ที่ กลต. รับรอง” .. สุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เห็น
* เกร็ดความรู้ : ปีนี้ พวกที่เปลี่ยนเงินหกหลักเป็นแปดหลัก สุดท้ายก็กลับมาเหลือหกหลักเหมือนเดิม บางคนก็กลายเป็นศูนย์ เพราะหมดไปกับ FTX, Zipmex, Anchor ฯลฯ ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนอันเจ็บปวดของหลายๆ คน… ก็เรียนรู้กันไปครับ เหมือนที่ผมเคยเจอมาก่อนตอนช่วง 2018-2019 เจอก่อนเจ็บก่อนรอดก่อน
🟢2023
* ปีนี้ สำหรับคริปโต เปิดปีมาก็ซิ่งเลย เพราะ BTC ขึ้นจาก 15k ไป 30k ช่วงต้นปี ผมเองที่ทำตามระบบ ก็แน่นอน ได้ขึ้นรถเก็บกำไรอิ่มๆ กันไป
* แต่หลายๆ คน ที่ พยายามจะลองทำตามระบบ แล้วเจอสับขาหลอกรัวๆ ตอนปี 2022 ก็ออกมาถ่มถุยระบบที่ผมใช้ว่า “เฮอะ เดี๋ยวก็หลอกเหมือนทุกทีน่ะแหล๊ะ” สุดท้าย ก็ไม่ได้เข้า ตอนระบบบอกให้ซื้อ แล้วก็ได้แต่ตกรถ กันไปแบบเซ็งๆ
* ส่วนกลางปี พอ BTC พักตัว ผมก็ทำตามระบบไปโง่ๆ เหมือนเช่นเดิม แต่พอร์ตก็นิ่งและไม่ไปไหนอยู่หลายเดือนมากๆ แถมหดด้วย เพราะเจอ false sig ไปบ่อย จนคนที่มาลองทำตามระบบหลังจากเห็นผมอวดกำไรช่วงต้นปี ออกมาถ่มถุยว่า ระบบแม่งโคตรกาก มีแต่สัญญาณหลอก
* พอปลายปี ระบบเขียวอีกรอบ หลายๆ คนก็ยังออกมาถ่มถุยเหมือนเดิมว่า “เฮอะ เดี๋ยวก็หลอกเหมือนทุกทีน่ะแหล๊ะ” สุดท้าย มันก็ไปจริง หลายๆ คนก็ตกรถกันเป็นแถบ เรื่องนี้มันก็ให้บทเรียนกับผมได้เหมือนกันว่า ถ้าเราเชื่อมั่นในระบบ ก็ทำต่อไปเถอะ ยิ่งจังหวะตอนที่เราไม่อยากจะเข้า เพราะมันสับขาหลอกบ่อยๆ … ยิ่งต้องกล้าเข้า เพราะ ถ้ามันไปต่อ แล้วเราไม่เข้า เราจะเซ็งยิ่งกว่าเยอะ
* หลายๆ คนอาจจะงงว่า เอ๊ะ แอด BTC ขึ้นมาตั้ง 160% ทำไมแอดได้กำไรแค่ 20% เองอ่ะ น้อยจัง ที่มันน้อยเพราะยอดนี้มันคือพอร์ตรวมของสองพอร์ต นั่นคือ พอร์ตหุ้นเมกา ด้วยครับ ซึ่งกำไรที่ผมได้จริงๆ จากการทำตามระบบก็คือ ประมาณ 35% ที่ความเสี่ยง 4% โดย Benchmark ของการทำตามระบบแบบเป๊ะๆ ที่ผมทำเป็น paper trade ไว้ อยู่ที่ 56% ครับ ที่ความเสี่ยง 4%
* สำหรับผม ถ้ามอง Risk:Reward กำไร 35% ที่ความเสี่ยง 4% ก็ตกอยู่ที่ 8.75RR ซึ่งผมก็ happy กับผลการเทรดมากๆ แล้วนะ
* ส่วนพอร์ตหุ้นเมกา ยอมรับว่า มั่ว และป๊อด ไปช่วงนึง ทำให้แทนที่จะได้กำไรสัก 30% แต่ก็ได้มาจริงแค่ 5% เพราะไปเข้าๆ ออกๆ และเจอค่าเงิน USDTHB อ่อนหนักนั่นเองครับ
🟢สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาตลอด 6 ปี ครึ่ง
* ยิ่งอยากได้กำไรเร็ว ยิ่งเจ๊ง อันนี้โคตรจริง เพราะพอเราอยากรีบทำกำไร เราจะเลิกคิดถึงความเสี่ยง และไอ้ความเสี่ยงนี่แหละมันจะทำให้พอร์ตพังยับ ถ้าตลาดไม่เป็นอย่างที่เราคิด
* ช่างแม่งเยอะๆ ใครบ่นอะไรไม่เข้าหูก็บล๊อกแม่งให้หมด เพราะ 100 คน 100 ความเห็น อะไรที่มันทำให้ใจเราขุ่นมัวก็ปิดการรับรู้มันไปซะ
* นึกถึงความเสี่ยงให้รอบด้าน ก่อนลงทุนทำอะไรเสมอ ถ้ามันดูแล้วคุ้มต่อความเสี่ยงก็ทำไปเลย อย่ากลัวเกินจนไม่กล้าทำอะไรเลย
* กูรูคนไหนชอบทำนายอนาคต อย่าไปให้ราคาเยอะ ฟังขำๆ พอ เพราะผมอยู่มา 6 ปี ครึ่ง กูรูนักทำนายพวกนี้ทำนายผิดกันไปไม่รู้กี่รอบ สักพักก็ออกมาทำนายใหม่คนก็มาชาบูกันต่อ
* ตลาดเป็น cycle เสมอ ตอนตลาดดีๆ กูรูเต็มตลาด กาวหึ่ง ก็ต้องระวังตัวอย่าไป FOMO มาก เพราะโอกาสจบรอบมีตลอดเวลา รวมถึง ตอนตลาดแย่ๆ ข่าวแย่เต็มไปหมด กูรูแช่งเต็มสื่อ ก็ต้องอย่าไปกลัวมาก มีระบบมาคุมอีกที กราฟบอกให้ซื้อก็ต้องเข้าซื้อ เพราะฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ
* และอื่นๆ อีกมากมาย ลองไปไล่อ่านโพสเก่าๆ ของผมได้ครับ
มุมมองทองคำ 29/12/23TF Day มองว่าทำกำลังทำ w3 of C โดยมีเป้าที่อาจไปถึง 1829.68 แผนคือมอง sell เป็นหลักเมื่อถึงโซนแล้วค่อยหาดูว่าจุดกลับตัวอยู่ตรงไหนส่วนคนที่มีของแล้วก็รันเทรดยาวๆไปได้และสามารถหาจุดเข้าออกตามระบบเทรดของตัวเองได้เช่นกัน
**การลงทุนมีความเสี่ยงนี่เป็นเพียงกรณีศึกษาไม่ได้แนะนำหรือเชิญชวนใดๆทั้งสิ้นผู้ที่สนใจควรศึกษาและตัดสินใจด้วยตัวเอง ขอให้ทุกคนโชคดีครับ***
การเทรดที่ดี ต้องมีกลยุทธ์ การจะเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จได้ จำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์การเทรด จัดการซื้อขายให้เป็นระบบ เพื่อการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่เราต้องชัดเจนคือ กลยุทธ์ของเราคืออะไร สินทรัพย์ที่ต้องการเทรด กรอบระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ สิ่งที่นักลงทุนควรมี ได้แก่
1 ความสม่ำเสมอ: การมี Action Plan ของตัวเอง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการรักษากลยุทธ์เทรด ในขณะเดียวกัน ก็ลดอารมณ์ในการตัดสินใจของคุณให้เหลือน้อยที่สุด ความสม่ำเสมอ ดังกล่าวมักจะให้ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้มากกว่าและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเวลาผ่านไป
2 ความมั่นใจ: เมื่อตัวเองมี Playbook แล้ว คุณสามารถซื้อขายด้วยความมั่นใจในตนเองที่เพิ่มขึ้น โดยรู้ว่า คุณกำลังทำการกลยุทธ์ ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ความมั่นใจนี้ จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยให้คุณมีสมาธิและตัดสินใจได้ดี
3 ความสามารถในการปรับตัว: เมื่อเผชิญกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การมี Playbook ไว้ใช้งานจะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยน และปรับกลยุทธ์ได้ตามต้องการ ความสามารถในการปรับตัวนี้ เป็นปัจจัยสำคัญในการไปสู่ความสำเร็จได้
องค์ประกอบ 3 ประการของกลยุทธ์การเทรด
1. Pattern หรือ รูปแบบ : Pattern ของกราฟจะเป็นตัวกำหนดว่า จุดไหนเป็นจุดเข้าซื้อ จุดไหนเป็นจุดขาย โดยอาศัยการวิเคราะห์จากบริบท และรูปแบบกราฟ นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึก
2. บริบท : ต้องทำเข้าใจบริบท สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของกลยุทธ์การเทรดของคุณ เทรดเดอร์หลายคนเชื่อผิดว่า กลยุทธ์การซื้อขาย เป็นเพียงการระบุ
3. รูปแบบ หรือสิ่งกระตุ้นควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงขั้นพื้นฐาน
การบริหารความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงที่ไม่ดี เป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวของเทรดเดอร์ มักเป็นผลมาจากการการขาดความเข้าใจ โดยแผนการจัดการความเสี่ยงของคุณไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเกินไป แต่ต้องมีความชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างขยันขันแข็ง ด้วยการปฏิบัติตามกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง คุณสามารถหลีกเลี่ยงหลุมพรางได้
สำหรับการซื้อขายรายวัน เราขอแนะนำดังต่อไปนี้
* ความเสี่ยงสูงสุด 1% ต่อการซื้อขาย
* ความเสี่ยงสูงสุด 2% ต่อวัน
* ความเสี่ยงสูงสุด 6% ต่อสัปดาห์
* ความเสี่ยงสูงสุด 10% ต่อเดือน
6 ขั้นตอนสำคัญในการสร้างและปรับแต่งกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ:
1. กำหนด Trading Style : ไม่ว่าคุณจะเป็น Day Trade , Swing Trade หรือนักลงทุนระยะยาว ต้องเลือกกลยุทธ์ กรอบเวลา และเทคนิคการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ระบุอัตราการชนะที่คุณต้องการ (เช่น 50%+) อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (เช่น 2R ขั้นต่ำ) และ Trading Style เช่น การเทรดแบบ Scalping การซื้อขายตามตำแหน่ง หรือ Swing Trade
2. หาข้อมูลวิจัย และเลือก Strategy: ศึกษากลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย และเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ Trading Style ของเรา การยอมรับความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน
3. กำหนดเกณฑ์การเข้าและออก: สำหรับแต่ละกลยุทธ์ที่เลือก ให้กำหนดการเข้าและออกที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย การหยุดการขาดทุนและกำไรของคุณเพื่อให้แน่ใจว่า คุณดำเนินการซื้อขายได้อย่างถูกต้อง และจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดทำแผนการเทรดที่กำหนดไว้อย่างดี ตัวอย่างเช่น ตัดสินใจจุดคุ้มทุน เมื่อถึงอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:1 เปิดการซื้อขาย โดยเฉพาะด้วยอัตราส่วน 1:2 หรือปิด 50% ของตำแหน่งของคุณที่ 1:1 และส่วนที่เหลือ 50% ที่ 1:3
4. สร้างกฎการบริหารความเสี่ยง: ใช้กฎการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ รวมถึงการตั้งค่าเปอร์เซ็นต์สูงสุดของยอดคงเหลือในบัญชีของคุณต่อความเสี่ยงต่อการเทรด หรือใช้ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดขนาดตำแหน่งเพื่อควบคุมความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ
5. ทดสอบ Strategy : ก่อนที่จะลงทุนจริง ให้ทดสอบ Strategy ของคุณ โดยใช้ข้อมูลตลาดในอดีต หรือบัญชีทดลอง ขั้นตอนการทดสอบนี้ ช่วยให้คุณปรับ Strategy และสร้างความมั่นใจในแนวทางของคุณได้ หากคุณไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ควร ในบัญชีทดลอง ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเสี่ยงด้วยเงินจริง จนกว่าคุณทักษะของคุณจะเก่งขึ้น
6. วิเคราะห์การซื้อขาย : จัดทำบันทึกเทรด ทั้งกลยุทธ์ที่ใช้ จุดเข้าและออก และสภาวะตลาด ในแต่ละครั้ง ตรวจสอบผลการซื้อขายของคุณเป็นประจำ เพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และปรับแผนการเทรดคุณให้เหมาะสม
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน