ไอเดียชุมชน
รูปแบบฮาร์มอนิก GARTLEY: ทำงานอย่างไร?!รูปแบบฮาร์มอนิก GARTLEY: ทำงานอย่างไร?!
"Gartley" ตามชื่อของมัน ถูกสร้างขึ้นโดย Henry Mackinley Gartley
รูปแบบฮาร์มอนิกอื่นๆ ทั้งหมดเป็นการดัดแปลงจาก Gartley
โครงสร้างประกอบด้วยคลื่น 5 คลื่น:
XA: อาจเป็นการเคลื่อนไหวรุนแรงใดๆ บนแผนภูมิก็ได้ และไม่มีข้อกำหนดเฉพาะใดๆ สำหรับการเคลื่อนไหวนี้เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นของ Gartley
AB: ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของ XA และควรอยู่ที่ประมาณ 61.8% ของการเคลื่อนไหว XA
BC: การเคลื่อนไหวของราคาควรตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของ AB และควรอยู่ที่ 38.2% หรือ 88.6% ของการเคลื่อนไหว AB
CD: การเคลื่อนไหวของราคาครั้งล่าสุดตรงข้ามกับ BC และควรอยู่ที่ 127.2% (ส่วนขยาย) ของ CD หาก BC อยู่ที่ 38.2% ของ BC หาก BC อยู่ที่ 88.6% ของ BC CD ควรอยู่ที่ 161.8% (ส่วนขยาย) ของ BC
AD: การเคลื่อนไหวของราคาโดยรวมระหว่าง A และ D ควรอยู่ที่ 78.6% ของ XA
วิธีใช้
จุด D คือจุดที่คุณเข้ามา! นั่นคือสัญญาณการเข้าของคุณ
-หากเป็นรูปแบบ M ให้คุณซื้อ
-หากเป็นรูปแบบ W ให้คุณขาย2
ควรวางจุดตัดขาดทุนไว้ตรงไหน
-ด้านล่างหรือ "X" หากคุณเป็นผู้ซื้อ
-ด้านบน "X" หากคุณเป็นผู้ขาย
เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วน Fibonacci ที่มีชื่อเสียง ซึ่งลึกลับพอๆ กับพีระมิดแห่งอียิปต์!
โดยสรุป รูปแบบ Gartley ก็เหมือนกับซิการ์คิวบาดีๆ หนึ่งชนิด: ต้องใช้ความอดทนและประสบการณ์จึงจะประเมินค่าได้อย่างแท้จริง แต่เมื่อคุณเชี่ยวชาญมันแล้ว มันสามารถกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในคลังอาวุธการซื้อขายของคุณ มีประสิทธิภาพเท่ากับหมัดของ Rocky Balboa!
โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain**Three Hills and a Mountain Pattern** เป็นรูปแบบกราฟราคาที่ใช้ใน **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)** โดยส่วนใหญ่มักปรากฏในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโต (Cryptocurrency) ซึ่งสามารถใช้ระบุจุดกลับตัวหรือแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ รูปแบบนี้ประกอบด้วย:
### โครงสร้างของ Three Hills and a Mountain
1. **Three Hills (เนินสามลูก)**
- กราฟแสดงการขึ้นและลงของราคาที่มีลักษณะเป็นยอดเขาสามลูกติดกัน
- เนินเหล่านี้อาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือค่อยๆ ลดลง/เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- แต่ละยอดอาจเกิดจากแรงขายหรือแรงซื้อที่ลดลงอย่างช้าๆ
2. **A Mountain (ภูเขาใหญ่)**
- ราคาทำการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมักเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในรูปแบบ
- หลังจากนี้จะเกิดการกลับตัวของราคา (reversal)
### ตัวอย่างการตีความ
- ในแง่ **ขาขึ้น**: รูปแบบนี้อาจสะท้อนแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงภูเขาใหญ่ จะมีแรงขายออกมาในปริมาณมาก
- ในแง่ **ขาลง**: หากภูเขาใหญ่เกิดหลังจากขาลง และราคากลับตัวไปทางขึ้น อาจแสดงถึงการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง
---
### ตัวอย่างในกราฟเหรียญ ETH
สมมติว่า ETH มีราคาต่อเนื่องดังนี้:
1. **ช่วงต้น (Three Hills):**
- Hill 1: ราคาขึ้นไปแตะ $1,900 แล้วปรับลงมา $1,850
- Hill 2: ราคาขึ้นไปแตะ $1,910 แต่ปรับลงมา $1,860
- Hill 3: ราคาขึ้นไปแตะ $1,920 แล้วลงมาที่ $1,870
2. **ช่วงภูเขาใหญ่ (The Mountain):**
- ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วไปแตะ $2,000
- หลังจากนั้นปรับฐานลงมาที่ $1,850
---
### การวิเคราะห์
1. **กรณี Bullish (แนวโน้มขึ้น):**
- หากหลังจากปรับฐานลงมาที่ $1,850 แล้วราคากลับตัวขึ้นใหม่ เช่น ทะลุ $2,000 อาจแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
2. **กรณี Bearish (แนวโน้มลง):**
- หากราคาปรับตัวต่ำกว่า $1,850 ต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณว่าผู้ขายเริ่มควบคุมตลาด
---
### เคล็ดลับในการใช้:
1. ยืนยันด้วย **อินดิเคเตอร์** อื่นๆ เช่น RSI, MACD หรือ Volume เพื่อดูว่าการกลับตัวนั้นแข็งแรงหรือไม่
2. ใช้การตั้ง Stop-loss เพื่อจัดการความเสี่ยง เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง
**Three Hills and a Mountain Pattern** ร่วมกับ **Fibonacci Retracement** สามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Fibonacci เพื่อระบุจุดเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ เราจะพิจารณาโครงสร้างและแนวทางตามทฤษฎีดังนี้:
---
### **โครงสร้างตามทฤษฎี Three Hills and a Mountain**
1. **Three Hills**
- กราฟสร้างยอด 3 ลูก โดยอาจมีระดับสูงที่ใกล้เคียงกันหรือปรับขึ้นลงเล็กน้อย
- มักแสดงถึงการปรับฐานระหว่างแนวโน้ม
2. **The Mountain**
- ราคาพุ่งขึ้น (หรือร่วงลง) อย่างรวดเร็ว เป็นยอดใหญ่ที่สุด
- หลังจากนั้นจะเกิดการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ
---
### **การใช้งาน Fibonacci กับ Three Hills and a Mountain**
1. **ระบุจุดสำคัญ:**
- ใช้ Fibonacci Retracement จากจุดต่ำสุดของเทรนด์ก่อนหน้า (Swing Low) ไปยังจุดสูงสุดของภูเขาใหญ่ (Swing High)
- ระดับ Fibonacci สำคัญที่ต้องจับตา:
- **0.236 (23.6%)**: การพักฐานเล็กน้อย
- **0.382 (38.2%) และ 0.5 (50%)**: จุดปรับฐานปานกลาง
- **0.618 (61.8%)**: จุดปรับฐานสำคัญที่มักเป็นโซนกลับตัว
- **0.786 (78.6%)**: สัญญาณแนวโน้มเปลี่ยน
2. **จุดเข้า (Entry Point):**
- หากราคาแตะระดับ **0.618** หรือใกล้เคียง พร้อมมีสัญญาณยืนยัน (เช่น RSI Oversold หรือ Divergence)
- เข้าเมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 หรือ 0.786
3. **จุดออก (Exit Point):**
- ใช้ Fibonacci Extension เพื่อคาดการณ์เป้าหมาย:
- **1.618 (161.8%)** หรือ **2.0 (200%)** มักเป็นจุดทำกำไรในขาขึ้น
- หากราคาไม่สามารถทะลุระดับ 1.0 เดิมได้ อาจเลือกปิดส่วนหนึ่งที่ระดับ 0.618
---
### **ตัวอย่างกราฟ ETH ตาม Fibonacci**
1. **ช่วง Three Hills:**
- Hill 1: ราคาแตะ $1,900
- Hill 2: ราคาแตะ $1,910
- Hill 3: ราคาแตะ $1,920
- Swing Low: $1,850
2. **The Mountain:**
- ราคาเด้งขึ้นไปแตะ $2,050 (Swing High)
3. **การปรับฐาน:**
- ราคาเริ่มปรับลง: ใช้ Fibonacci Retracement จาก $1,850 ถึง $2,050
- ระดับที่พบ:
- **0.382 (38.2%)**: $1,960
- **0.618 (61.8%)**: $1,920
4. **กลยุทธ์การเข้าออก:**
- หากราคาปรับตัวลงใกล้ $1,920 (0.618) และ RSI แสดง Oversold → **จุดเข้า Buy**
- เป้าหมายการทำกำไรที่ $2,100 (1.618) หรือ $2,200 (2.0)
---
### **สรุปจุดเข้าและออก**
- **จุดเข้า:** เมื่อราคากลับขึ้นเหนือระดับ 0.618 ($1,920)
- **จุดออกระยะสั้น:** $2,050 (ระดับเดิม)
- **จุดออกระยะยาว:** $2,100 (Fibo 1.618) หรือ $2,200 (Fibo 2.0)
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นกำหนดแผนส่วนตัวในทำเฟรม d1 แล้วก็ย่อมาดูทามเฟรมที่เล็กลง
เพื่อหาจุดเข้าที่เล็กลงไปอีกแล้วก็เก็บในไทม์เฟรมที่เล็กลงไปอีกแค่นั้นแหละจบเป็นรอบๆเอาเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นจบตามแผนกี่เปอร์เซ็นต์ต่อวันก็พอแล้วที่เหลือก็ไปฝึกใน demo ต่ออย่าหยุดเทรดได้กำไรแล้วก็อย่าหยุดต้องฝึกเทคนิคตัวเองจนกว่าจะเข้าใจแล้วก็มั่นใจก่อนคำว่าได้กำไรแล้วหยุดปิดหน้าจอเลยอย่าพูดสำหรับคนฝึกอย่าคิดว่าติดกราฟมันไม่จริงเราไม่ได้ติดกราฟแต่เราไม่เข้าใจเราต้องเข้าใจให้มากกว่านี้ถ้าคิดว่าทุ่มเทกับมันได้ไม่เต็มที่ไม่ถวายชีวิตแนะนำให้ไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นวันนี้ก็เหมือนกับทุกๆวันที่วิเคราะห์นั่นก็คือการมองดูภาพรวมสิ่งที่เขาบอกแล้วค่อยย่อทามเฟรมเล็กๆเพื่อไปหาจุดเช่าในการเทรดแต่ละวันซึ่งในทำเฟรมเดย์เขาสร้างรับสำเร็จแล้วแต่ในวันนี้เขาอาจจะทะลุรับลงไปหารับข้างล่างก็เป็นได้หรือเขาไม่ทะลุแล้วก็วิ่งขึ้นไปหาแนวต้านก็เป็นได้เพราะฉะนั้นการเทรดคำว่า รันเทรน สำหรับส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นอะไรที่เครียดก็เลยไม่ถนัดก็เลยจะมองแค่ว่าสิ่งที่เห็นณวันนี้คืออะไรแล้วไปดูที่แท่งปัจจุบันเลยแค่นั้นเลยวางแผนการเทรดของเดย์ไว้ประมาณนี้ถ้าไม่ทะลุแนวรับD1 ในทามเฟรมที่เล็กลงเราก็ต้องเทรด by ก่อนแต่ในทำเฟรมที่เล็กลงเขาบังคับให้เทรดลงเพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาจังหวะยกแล้วก็เซลล์ซึ่งก็ต้องระวังแนวรับของดีเสมอมันอาจจะดีดกลับก็ได้ สุดท้ายก็แล้วแต่ความถนัดของใครรูปแบบการศึกษาของใครที่ไปร่ำเรียนมาจากไหนให้ไปฉกฉวยเอาเงินออกมาแบบไหนนั่นก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นกำหนดแผนก่อนเข้าเทรดเป็นรอบๆอย่าไปคิดว่ารันเทรนในเมื่อกราฟบอกให้เทรดSIDEWAYพอได้กำไรไม่ปิดสุดท้ายทุนหายกำไรหดสรุปรันเทรนมันทรมารต้องมานั่งทนฟ้าแล้วไม่ปิด
ส่วนตัวเก็บเป็นรอบไปได้น้อยหน่อยแต่ได้เก็บเรื่อยๆขายหมูก็ช่างมันมีจุดให้เข้าได้ตลอด
เก็บได้เร็วไม่ต้องรอเป็นวันๆ5ที่เป็นต้นไปรู้เรื่องพอเก็บสั้นSL TP 1:1จุดเข้าต้องแม่นและทำซ้ำๆได้ตลอดผิดทางบ้างเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีเทคนิคไหนเทรดได้100%เพราะเจ้าจะสับเปลี่ยนให้คนเทรดแต่ล่ะเทคนิคได้ชนะบ้างแพ้บ้างสลับกันไปฉะนั้นส่วนตัวดูแค่นี้เรื่องเทคนิคอื่นดูไม่เป็นใช้MAได้พอเข้าใจอย่างอื่นตึ๊บ
Block Trade คืออะไร?Block Trade คืออะไร เทรดอย่างไร ?
👯👯👯 สำหรับใคร ที่ชื่นชอบความท้าทาย และต้องการมีรายได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น ให้รีบมาอ่านบทความนี้ เพราะหากเราลองเปรียบเทียบ การลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แต่เราสามารถสร้างผลตอบแทนและกำไรได้มากกว่าหลายเท่าตัวด้วย Block trade จะดีกว่ามั้ย มาครับมาตามอ่านกัน
Block Trade คืออะไร?
Block Trade เป็นหนึ่งในบริการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดทำให้กับลูกค้าที่มีความต้องการลงทุนใน Single Stock Future (SSF) ซึ่งมีวิธีการซื้อขายแบบจับคู่ซื้อขาย (SSF) ที่ราคา และจำนวนสัญญาที่ตกลงกันไว้ เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอ
Single Stock Futures (SSF) แรกเริ่มเดิมที คือ การซื้อขายสัญญา Futures ของหุ้นอ้างอิงที่เราสนใจนั่นเอง โดยมากแล้วหุ้นอ้างอิงเหล่านี้มักจะเป็นสมาชิกของ SET50 ซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วบวกเพิ่มเข้าไปกับหุ้น SET100 อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ปัจจุบันมีทั้งหมด 69 หุ้นอ้างอิงที่เราสามารถเลือกซื้อขาย Long-Short โดยใช้ Single Stock Futures เป็นตัวช่วยในการเพิ่มอัตราทดให้พอร์ตการลงทุนของเราได้
แต่การซื้อขาย SSF กลับไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าผู้เล่นในสนามนี้โดยมากแล้วจะเป็นนักลงทุนทั่วไป ที่มาตั้งซื้อ-ขายกันเอง ทำให้ “สภาพคล่อง” ของสินค้าชนิดนี้น้อย เป็นผลให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายกันได้อย่างสะดวก ด้วยเหตุนี้เองทำให้ SSF ได้รับความนิยมน้อย และนักลงทุนไม่ให้ความสนใจมากนักเนื่องจากปัญหาสภาพคล่องที่ต่ำ
จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด SSF วิธีการคือบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้จะทำตัวเป็นคู่สัญญาให้กับผู้ซื้อทุกคน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ซื้อจะต้องซื้อจำนวนสัญญา SSF เป็นจำนวนขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่มีกำหนดขึ้นมาจากตลาดหลักทรัพย์
การจับคู่สัญญาของผู้ซื้อ และบริษัทหลักทรัพย์นี้เองที่เรียกว่า “BLOCK TRADE”
โดยที่หากผู้เล่นต้องการเปิด สถานะ LONG บริษัทหลักทรัพย์ก็จะมารับเป็นคู่สัญญาเปิด สถานะ SHORT ทำให้ออเดอร์ทั้งสองฝั่งแมทช์กันได้
ดังนั้น ในกรณีที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไป ผู้เล่นก็จะมีกำไร และทางบริษัทหลักทรัพย์คู่สัญญาตรงข้ามก็จะต้องรับขาดทุนไปด้วย แต่บริษัทหลักทรัพย์ไม่ต้องการเปิดความเสี่ยงตรงนี้จุดนี้ จึงใช้วิธีป้องกันความเสี่ยง โดยการเข้าไปซื้อ “หุ้นจริงบนกระดาน” เอาไว้เท่ากับจำนวนที่เป็นคู่สัญญาให้กับผู้เล่น เพราะฉะนั้นแล้วบริษัทหลักทรัพย์ก็จะ “ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย” จากการเป็นคู่สัญญากับนักลงทุน เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากอัตราทดของสินค้านี้ได้
ตัวอย่างขั้นตอนการทำ Block Trade (ตัวเลขสมมติ)
- ผู้เล่นติดต่อมาร์เกตติ้งส่วนตัวเพื่อขอทำ Block Trade หุ้น CBG 1 แสนหุ้น
- มาร์เกตติ้งส่งคำสั่งเปิด long CBG 100 สัญญา ถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นคู่สัญญา
- บริษัทหลักทรัพย์ทำการซื้อหุ้น CBG 100,000 หุ้นจากบนกระดานหลักเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
- ลูกค้ามีสถานะ long CBG 100 สัญญา หรือเทียบเท่ากับมีหุ้น CBG 100,000 หุ้น
*** เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ***
หลังจากที่มีโบรคเกอร์เข้ามาเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมนี้แล้ว ปริมาณการเทรด SSF จึงโตขึ้นถึง 10 เท่าตัว จากเดิมที่มีการซื้อขาย SSF เฉลี่ย 10,000 สัญญา ต่อวัน เขยิบขึ้นมาที่ราวๆ 80,000 สัญญาต่อวัน ซึ่งในวันที่มีการเทรดกันคึกคักสุดๆ จำนวนสัญญาเคยขึ้นไปสูงถึง 150,000 สัญญาต่อวันเลยทีเดียว
ทำไมผู้เล่นถึงเข้ามาเทรด Block Trade กันมากมายขนาดนี้ !!?
1. หุ้นที่สามารถทำ Block Trade ได้นั้น โดยมากจะเป็นหุ้นใน SET50 และ SET100
2. เลือกทิศทางได้ทั้งในฝั่ง LONG และ SHORT เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น,ขาลง หรือแม้แต่ไซด์เวย์ ก็มีโอกาสให้กับผู้เล่นอยู่เสมอ
3. การทำ Block Trade ใช้เงินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นในตลาด
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเป็นแนวทางในการหาเงินหรือกำไรเพิ่มขึ้นมั้ยครับ แอดว่ามันเข้าท่าดีนะครับ สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อย และชอบเทรดในตลาดหุ้นที่มีทั้ง short และ long บอกเลยว่ามันได้ฟิลดีเหมือนกันนะเออ
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
Open Interest: ปัจจัยสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดทองคำOpen Interest คืออะไร?
Open Interest (OI) คือจำนวนสัญญาซื้อขายที่ยังเปิดอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สหรือออปชัน โดยไม่รวมสัญญาที่ปิดแล้ว ซึ่งหมายถึงจำนวนสัญญาที่ทั้งสองฝ่าย (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ตกลงกันและยังไม่มีการปิดสถานะ สถิตินี้สามารถช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนวิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนอย่างทองคำ
บทบาทของ Open Interest ในตลาดทองคำ
ตลาดทองคำมีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้น Open Interest จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสนใจของนักลงทุนในสินทรัพย์นี้
การบ่งชี้แนวโน้มของตลาด
หาก Open Interest เพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจบ่งชี้ว่ามีแรงซื้อใหม่เข้ามาในตลาด ซึ่งสามารถสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นได้
ในทางกลับกัน หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น อาจแสดงว่าการเพิ่มขึ้นของราคามาจากการปิดสถานะ Short มากกว่าการเปิดสถานะใหม่
การยืนยันหรือกลับตัวของราคา
เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของ Open Interest อาจบ่งชี้ว่าราคาอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแรง
หาก Open Interest ลดลงในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหว อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือสิ้นสุดแนวโน้ม
วิธีการวิเคราะห์ Open Interest ร่วมกับข้อมูลอื่น
Volume (ปริมาณการซื้อขาย):
Open Interest ควรใช้ควบคู่กับปริมาณการซื้อขาย เพราะ Volume บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาหนึ่ง
หาก Volume และ Open Interest เพิ่มขึ้นพร้อมกัน ตลาดมีแนวโน้มว่ากำลังสร้างความแข็งแกร่ง
COT Report (Commitments of Traders):
รายงาน COT ซึ่งเผยแพร่โดย CFTC (Commodity Futures Trading Commission) เป็นข้อมูลเสริมที่ดีในการวิเคราะห์ Open Interest
ช่วยให้เห็นภาพรวมของตำแหน่งซื้อขายของกลุ่มนักลงทุน เช่น ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ป้องกันความเสี่ยง
ข้อควรระวังในการใช้งาน Open Interest
Open Interest เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกทิศทางตลาดได้ จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น กราฟเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน
ความผันผวนของตลาดทองคำสามารถเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การแถลงการณ์ของธนาคารกลาง
การดูข้อมูล Open Interest สำหรับทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ สามารถทำได้จากหลายเว็บไซต์ โดยแต่ละที่อาจมีจุดเด่นต่างกันตามความละเอียดและการนำเสนอข้อมูล ต่อไปนี้คือเว็บไซต์ที่นิยมใช้:
CME Group (Chicago Mercantile Exchange) , Investing.com,Barchart,TradingView
สรุป
Open Interest เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักเทรดทองคำในการวิเคราะห์แนวโน้มและความแข็งแกร่งของตลาด อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพควรมาควบคู่กับการศึกษาปัจจัยอื่น ๆ เพื่อการตัดสินใจที่มั่นคงในตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างตลาดทองคำ
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นH4แนวโน้มมองเป็นขาลงกราฟขึ้นก็ต้องหาจังหวะเซลล์เช้าวันใหม่เปิด 2 แท่งต่อแท่งขึ้นแต่ยังไม่หลุดแนวต้านด้านซ้ายก็มีโอกาสลงเช่นกันทำเฟรมเล็กก็มีโอกาสขึ้นย่อแล้วบายไปหาแนวต้านด้านซ้ายก่อนจะขึ้นไปต่อหรือจะลงไปต่อก็รอดูจุดแนวต้านดูอาการของทางเฟรมเล็กๆมันไปต่อได้ไหมไปได้ก็ขึ้นไปไม่ได้ก็ลง
Market Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาดMarket Cycle รู้ไว้จะได้ไม่ดอยกับวัฏจักรตลาด
👯👯👯 เพราะตลาดมีทั้งขึ้นและก็ลง มีใครเจ็บตัวจากการดิ่งลงของทองช่วงนี้มั้ย ยกมือขึ้น วันนี้แอดพาไปรู้จักกับกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันครับ เผื่อว่าคนที่ดอยหรือล้างพอร์ตบ่อยๆจะได้ปลงและ มองเห็นความเป็นจริงที่มากขึ้น มาครับตามมาอ่านกันดีกว่า ว่ามันเป็นยังไง
เพราะตลาดมีทั้งขึ้นมีทั้งลง เคยสังเกตุไหม???? เพื่อนเราเทรดทอง เราเองก็เทรดทอง คนนึงบาย BUY คนนึงเซล SELL แต่เอ๊ะ ทำไมมันก็กำไรทั้งคู่นะ ไม่มีใครเทรดเสีย หรือบางทีก็เทรดเสียด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคน BUY และคน SELL ตลาดเขาแรงจริงๆ ว่ามั้ย
Market Cycle จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติใจ ให้เราไม่วู่วามและเผชิญหน้ากับความจริงที่เป็นสิ่งไม่ตายนั่นเอง และเราก็ใช้สิ่งนี้แหละเป็นตัวตัดสินใจในการลงทุน และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีระบบ
วัฎจักรตลาด (Market Cycle)
คือธรรมชาติของการซื้อขายบนความคาดหวัง เช่น บางคนคิดว่าราคาจะพุ่งขึ้นในตลาดขาขึ้นก็ซื้อหุ้นไว้ แต่พอเวลาผ่านไป ราคาขึ้นไปจนสุดแรง ก็อาจเกิดการรีบาว์นหรือกลับตัว เป็นตลาดขาลง ซึ่งเรามักใช้ปัจจัยอื่นๆประกอบในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค และข่าวสารที่ส่งผลต่อหุ้นนั้นๆ
ทฤษฎีที่หลายคนนิยมใช้กันมีอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
1. ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
มีอยู่ด้วยกัน 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ช่วงเก็บของ (The accumulation phase)
เมื่อราคาหุ้นตกลงมากๆ ติดต่อกันนาน ๆ มูลค่าการซื้อ-ขาย จะน้อยลง จะเป็นช่วงรายใหญ่เก็บของในช่วงนี้และราคาจะไม่ขึ้นจนกว่าจะเก็บของเสร็จ
- ช่วงราคาพุ่งขึ้น/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาขึ้น (Uptrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มสนใจ เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจน ข่าวที่ส่งผลต่อราคาอาจยังออกมาไม่มากนัก
- ช่วงเลิกเล่น (The distribution phase)
ช่วงที่หุ้นขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนนักลงทุนส่วนใหญ่กระโดดเข้าไปตาม แต่มักจะเป็นช่วงที่ตลาดขึ้นไปสุดแล้ว และเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในคลื่นลูกใหม่
- ช่วงราคาร่วงหนัก/ผู้คนเริ่มรับรู้ตลาดขาลง (Downtrend)
หุ้นในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มตกใจและหดหู่จากตลาดร่วงอย่างหนัก เพราะเห็นว่ามันมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าราคาจะทำท่าลงต่อ
2. ทฤษฎี Wyckoff (Wyckoff Logic)
ทั้งสองทฤษฎีนี้มีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่แตกต่างกันตรงที่การแบ่งแยกช่วงต่างๆของวัฏจักร โดยหลักการ Wyckoff สามารถคาดการณ์ และ ดูทิศทางการเคลื่อนไหว ภายในกรอบซื้อขาย (Trading Range) และอาศัยความเป็นเหตุเป็นผลที่จับต้องได้ และเกิดซ้ำ ๆ จนเป็นวัฏจักรตลาด Wyckoff Logic มีทั้งหมด 4 ช่วงที่สำคัญคือ
- ระยะสะสม (Accumulation)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเองเพื่อพักตัวและเลือกทางการไปต่ออีกครั้ง
- ระยะไล่ราคา (Mark Up / Uptrend)
ราคาจะมีทิศทางขาขึ้นค่อนข้างชัดเจน มีการไล่ราคากันอยู่เรื่อย ๆ สลับกับทยอยขายทำกำไร แต่เมื่อใดที่ราคาเคลื่อนไหว Sideway นาน ๆ หรือมีสัญญาณที่แนวโน้มขาขึ้นจะเปลี่ยนเป็นขาลง จุดนี้อาจเป็นจุดสูงสุดของขาขึ้น
- ระยะแจกจ่าย (Distribution)
ในระยะสะสมจะมีการแบ่งช่วงย่อยเป็น Phase มีด้วยกัน 5 Phase หรือมองภาพให้ง่ายๆคือกรอบคลื่นย่อยๆค้ายคลื่นอีเลียตในกรอบย่อยนั่นเอง แต่เป็นแบบกรอบพักตัวแล้วไต่ขึ้นหรือลงต่อ
- ระยะดิ่งเหว (Mark Down / Downtrend)
หลังจากผ่านช่วงแจกจ่ายไปแล้ว ตลาดก็เข้าสู่ขาลง ในช่วงนี้เราอาจจะเจอการเด้งกลับของราคาอยู่เป็นช่วงๆ หรือที่เรียกว่า “Rebound” ซึ่งในตลาดขาลงนี้ จะสามารถทำกำไรได้ในระยะสั้นๆ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมากหากเข้าซื้อ-ขายออกช้าเกินไป และหลังจากที่ระยะนี้จบลง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะสะสม วนเป็นวัฏจักรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะเริ่มเข้าใจกลไกวัฏจักรของตลาดการเงินกันบ้างแล้วมั้ยครับ แอดบอกเลยว่ามันดีจริงๆนะ ทำให้เราไม่เครียดและหาทางออกในการแก้ไม้ของเราได้ดีเลยเชียวหละ ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ แอดเชื่อว่าไม่มากก็น้อย กำไรแน่นอน อยู่ที่ว่าเราเลือกชอบแบบไหน และเทรดให้ได้กำไรที่สุด
แล้วอย่าลืม หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
7 ความยากของการเป็นเทรดเดอร์การเป็นเทรดเดอร์ (Trader) หรือผู้ที่ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่หลายคนอาจคิด การมองการเทรดเป็นแค่การกดปุ่มซื้อและขายตามสัญญาณหรือการคาดเดาราคาก็อาจทำให้หลายคนมองข้ามความซับซ้อนของการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความยากของการเป็นเทรดเดอร์ที่ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์กราฟหรือหาจังหวะในการเปิดออร์เดอร์ แต่ยังรวมไปถึงความท้าทายทางจิตใจและการจัดการกับความเสี่ยงที่มีอยู่เสมอ
1. การจัดการอารมณ์ (Emotional Control)
หนึ่งในความยากที่สำคัญที่สุดในการเป็นเทรดเดอร์คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นเมื่อทำกำไร หรือความวิตกกังวลเมื่อขาดทุน การตัดสินใจทางการเงินมักเกิดขึ้นจากการคาดเดาและสัญชาตญาณ ซึ่งสามารถถูกกระทบโดยอารมณ์ที่ผันผวน เมื่อเทรดเดอร์ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ เช่น การตัดสินใจทำการเทรดในเวลาที่ไม่เหมาะสมหรือการเพิ่มความเสี่ยงเมื่อสูญเสียไปแล้ว
2. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
การเข้าใจและจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในการเทรด หากไม่สามารถคำนวณหรือจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้เกิดการขาดทุนที่ยั่งยืน การตั้ง Stop Loss หรือการใช้กลยุทธ์ในการจัดการเงิน (Money Management) เป็นสิ่งที่ทุกเทรดเดอร์ต้องเรียนรู้และฝึกฝน ความยากของมันคือการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรยอมรับการขาดทุนและเมื่อไหร่ควรเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อทำกำไร
3. การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis)
การวิเคราะห์ตลาดเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ต้องการการเรียนรู้และประสบการณ์มากมาย ในโลกของการเทรด มีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis) แต่การเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมก็เป็นความยากอีกประการหนึ่ง เทรดเดอร์ต้องพัฒนาเทคนิคของตัวเองเพื่อสามารถวิเคราะห์ข้อมูลในสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้
4. ความไม่แน่นอนของตลาด
ตลาดการเงินไม่เคยมีความแน่นอน การคาดเดาทิศทางของราคาในอนาคตย่อมมีความเสี่ยง ทุกเทรดเดอร์ต้องเข้าใจว่าแม้จะมีการวิเคราะห์และใช้กลยุทธ์ที่ดี แต่การเทรดก็ยังต้องพึ่งพาความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ข่าวสาร หรือการตัดสินใจของธนาคารกลาง สิ่งเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อราคาในทันทีทันใด ซึ่งทำให้การวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
รูปแบบกราฟ Double Tops
Double Top : รูปแบบ Double Top เกิดจากราคาที่ขึ้นไปสูงถึงจุดหนึ่ง (ยอดแรก) แล้วลดลงมา จากนั้นพยายามขึ้นไปใหม่แต่ไม่สามารถทำยอดสูงสุดใหม่ได้ (ยอดที่สอง) เป็นสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง โดยจุดสูงสุดสองจุดนี้มักจะอยู่ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน
Shooting Star Candle : ที่ยอดสูงสุดในครั้งที่สอง มีแท่งเทียนแบบ Shooting Star ปรากฏ ซึ่งเป็นแท่งเทียนที่มีเงายาวด้านบนและตัวเทียนเล็ก ๆ แสดงถึงแรงขายที่เริ่มเข้ามาในตลาด เป็นสัญญาณการกลับตัวที่มีนัยสำคัญ
Neckline : เส้นแนวนอนที่ลากผ่านจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสอง เป็นแนวรับที่สำคัญ ถ้าราคาทะลุลงต่ำกว่า Neckline นี้ จะยืนยันว่ารูปแบบ Double Top สมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่ราคาจะลงต่อไป
Bear Signal : สัญญาณขาย (Bear Signal) ปรากฏเมื่อราคาลดลงต่ำกว่าเส้น Neckline แสดงถึงการยืนยันแนวโน้มขาลง
สิ่งที่ BTC เทรดเดอร์ต้องเจอในปี 2024 ก่อนจะพบกับความปิติวันนี้ ( 12/11/2024 ) เราเห็นคนอวดกำไร โพสราคา บ่นอะไรต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับ BTC ที่เฉียด 100k กันอย่างสนุกสนาน
แต่ใครจะคิดว่า ก่อนหน้านี้ ตลอดหลายเดือน ที่ BTC ไปทำ ATH ที่ 74k แล้วก็ยึกยักไม่ไปไหนตลอด 7 เดือน คนที่อยู่ในตลาดกันมานานๆ ... แม่งโคตรๆ จะสิ้นหวัง โดยพอจะสรุปความสิ้นหวังได้ดังนี้
### 1. ระบบสับขาหลอกชิบหายวายป่วง
ตั้งแต่มันไปทำ ATH เมื่อ 14/3/2024 หลังจากนั้นกราฟ BTC ก็สับขาหลอกไปมาอยู่ตลอด 7 เดือน จนถึงมาขึ้นจริง เขียวจริง ก็วันที่ 15/10/2024 โดยถ้าไปไล่ดูก็จะพบว่า เราเจอ false sig กันไปทั้งหมดถึง 5 รอบ โดยแต่ระบบ ก็เท่าทุนบ้าง กำไรนิดหน่อยบ้าง หรือแม้แต่ขาดทุน
โดยใครที่ไม่ได้คุมความเสี่ยง หรือทำ position sizing ดีๆ เจอการสับขาหลอก 5 รอบ ผมบอกเลยว่า ขาดทุนหนัก แน่ๆ เพราะมีลูกเพจมาบ่นในเม้น 555 ส่วนผมที่วาง position size มาดี ก็ยังเจอการคืนกำไรหนัก โดยตอนเดือนมี.ค. กำไรสูงสุดอยู่ที่ +19.43% และพอถึงเดือน ตุลาคม ก่อนจะบิน เหลือกำไรแค่ 10.40% หรือพูดง่ายๆ คือ คืนกำไรไปตั้ง 50% นั่นเอง
หลายๆ คนเจอการสับขาหลอกแบบนี้บ่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า ระบบมันกาก มันใช้ไม่ได้ และก็เริ่มไปหา "ระบบเทพ" อื่นๆ ที่คนอวดกำไรกัน หรือเลือกที่จะไม่เชื่อระบบไปเลย และแทงสวนอีกด้วย... เพื่อที่จะพบว่า วันที่ย้ายระบบ/ไม่เชื่อระบบ ก็คือวันที่เสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ไปนั่นเอง
### 2. ดอลล่าห์อ่อนหนักมาก
ปีนี้นอกจากเราจะเจอการสับขาหลอกนรกแตกแล้ว เรายังเจอดอลอ่อนเป็นแบงค์กงเต็ก เทียบกับเงินบาทด้วย โดยช่วงต้นปี ดอลล่าห์เคยขึ้นไปสูงถึง 37 บาท ต่อดอลล่าห์ ก่อนที่จะอ่อนยวบลงมาจนเกือบหลุด 32 บาทต่อดอล หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้าถือดอล เงินบาทเราจะหายไปถึง -13.5% นั่นเอง
ถามว่าดอลอ่อนแล้วเกี่ยวอะไร? ก็เกี่ยวสิ เพราะตอนที่เราโดน false sig เราเข้าตอนที่ดอลราคาสูง แต่พอต้องคัท นอกจากต้องคัทแบบขาดทุนดอลแล้ว ก็จะขาดทุนเงินบาทสมทบเข้าไปอีกดอก ก็เลยจุกสองเด้งนั่นเอง 555
### 3. BTC ไหลเขื่อนแตกจาก ATH 74k ไปเหลือแค่ 49k หรือลงไปถึง -33%
ช่วงกลางปี หลายๆ คนที่เทรด หรือ buy the dip BTC ก็น่าจะเจอช่วงที่ราคารูดเขื่อนแตกลงไปทำ All time low ของปีที่ 49k ทำให้หลายๆ คนที่ไปใช้ leverage หรือใช้ท่าช้อนซื้อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะพอร์ตแตก กันไปเรียบ ยังไม่นับคนที่ไปกาวซื้อตอน ATH แล้วไปคัทที่ 49k ด้วยความกลัวอีกนะ ซึ่งผมว่าก็น่าจะมีไม่น้อยเลย
### 4. DCA ตลอดทั้งปี มีแต่ขาดทุน
ใครที่มาเริ่ม DCA BTC ตอนต้นปี หรือตอน ATH แล้วเจอช่วงซึมทรง กลางปีเข้าไป บอกเลยว่า น่าจะสิ้นหวังกันไปไม่มากก็น้อย ยิ่งถ้าคนที่ DCA แล้วกะจะรวยเลย ไม่ได้มองเกมยาวๆ เจอยิ่งซื้อยิ่งซึม ก็จะยิ่งท้อเข้าไปใหญ่ และส่วนใหญ่ พอซึมมากๆ ก็จะท้อแล้วเลิก DCA ไปก่อนนั่นเอง 555
### สรุป
การที่เราจะเทรด BTC แล้วมีกำไร ในปีนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่การที่เราจะโพสบอกกำไรในเพจ เพื่อเรียก engagement มันโคตรง่าย 555
ที่ทำโพสนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้กำลังใจหลายๆ คนที่อดทนเจออุปสรรคตลอดปีนี้กันมา และ ยินดีกับผลกำไรของความเหนื่อยยาก และการอดทน ทำตามระบบ อย่างมีวินัย และไม่ท้อไปเสียก่อนนะครับ
ส่วนใครที่โดน หรือตกรถกันมาในปีนี้ ก็ขอให้เก็บบทเรียนเหล่านี้ไว้ และนำไปปรับปรุงแผนการเทรดของท่านในอนาคต เพราะไม่มีใครสอนท่านได้ เท่าตัวท่านเองครับ
ส่วนคนที่ได้กำไรเยอะๆ เพราะไปซัดหนักๆ ตามน้ำ ก็ดีใจกับท่านด้วยนะ แต่ก็อยากจะบอกไว้ว่า ตอนตลาดขึ้นแบบนี้อ่ะ ลิงก็ทำกำไรได้ ไม่ใช่ความเก่งกาจอะไรของคุณหรอก สิ่งที่จะแยกเราออกจากลิง ก็คือ การรักษากำไรที่ได้มา ไม่ให้มันคืนตลาดไปหมด ในช่วงที่ตลาดเริ่มผันผวนต่างหาก 555
#staysafe #รอดให้ได้ก่อนเดี๋ยวกำไรมาเอง
ฝึกวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าซื้อให้ละเอียดแม่นยำยิ่งๆขึ้นไปแนวโน้มขึ้นแตายังไม่เลือกทาง
ฉะนั้นแท่งพย.67นี้อาจย่อลงมา
ไม่ทะลุต้านสำคัญก็เป็นได้
อย่าคิดว่ามันขึ้นแล้วจะลงไม่ได้
อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะยังไม่จบเดือน
สถิติในอดีตเคยวิ่งอัตตราเฉลี่ย10,000-30,000จุด
เรามองหาอดีตที่กราฟเคยวิ่งเพื่อสมมติฐานว่าอนาคตอันใกล้จะมีการกลับตัวเมื่อไหร่